ละครน้ำเน่า ที่ฉายกันมาหลากหลายปี ฉายร่วมกันมากกว่า 10 ปีที่ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ตอนกลางวันนั้น แม้เนื้อเรื่องจะจัดได้ว่าเดาทางได้ง่าย เนื้อเรื่องไม่โดดเด่นมาก ตัวละครที่เปลี่ยนนักแสดงมาหลากหลายคนกับบทบาทเดิมๆเพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไป เรื่องราวชีวิตประจำวันตัวละครที่ดูไม่มีอะไรมาก แต่กลับสร้างความติดให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างมาก ผู้ชมกลุ่มแม่บ้าน ที่ต้องทำงานบ้านตอนกลางวันเมื่อไม่มีอะไรรับชม ละครประเภทที่เรียกว่า ละครน้ำเน่า นี่และช่วยแก้เบื่อได้ดี แต่ถึงกระนั้น Soap Opera ละครน้ำเน่า นั้นมีบทเรียนอันยิ่งใหญ่ แฝงอยู่ มาดูกันว่า มีบทเรียนอะไรบ้าง
บทเรียนที่หนึ่ง การยอมแพ้ไม่ใช่ทางเลือก
จากละครน้ำเน่า Soap Opera เรื่อง “ All My Children.” เวอร์ชั่นของ สกาเล็ท โอฮาร่า (Scarlett O’Hara) ที่ฉายในช่วงกลางวัน มีตัวละครที่มีชื่อว่า เอริก้า เคน ( Erica Kane ) ที่ฉากอันสำคัญที่สุดของเธอก็คือ เธอต้องเผชิญหน้ากับหมีตัวยักษ์คนเดียวในป่าใหญ่ และเธอก็กรีดร้องใส่เจ้าหมีตัวนั้นว่า
“แกทำอะไรฉันไม่ได้ แกเข้าใจฉันมั้ย แกจะไม่เข้ามาใกล้ฉัน ฉันคือ เอริก้า เคน ส่วนแกเป็นแค่หมีโสโครก.”
และแน่นอน หลังจากนั้น เจ้าหมีตัวยักษ์ก็หนีจากไป จากบทเรียนนี่ก็คือ ไม่ว่าจะทำอะไร อุปสรรคย่อมเป็นสิ่งที่จะต้องพบเจออยู่แล้ว และเราสามารถเลือกที่จะยอมแพ้มันหรือต่อสู้มัน เมื่อเราเชื่อว่ามันมีวิธีหรือทางออกของปัญหา อุปสรรค ที่เราพบพบเจอ ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่แค่ไหนพวกเราก็สามารถหาทางก้าวข้ามมันไปได้ สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านมันไปได้ และการยอมพ่ายแพ้ต่อมันไม่ใช่ทางเลือก
บทเรียนที่สอง เสียสละอีโก้ เพราะชีวิตไม่ได้เกี่ยวกับคุณเสมอไป
ชีวิตไม่ได้เป็นเรื่องของคุณเสมอไป การเสียสละตัวตน เสียสละอีโก้ของคุณ ลดมันลงมาแล้วคุณจะพบความสุข ชีวิตเป็นมันเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าเราต้องการสร้างความเป็นจริง ชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกๆคนเราต้องเสียสละอีโก้ เพื่อแสดงออกถึงความบอบบางในบางครั้งและเพื่อยอมรับผลของการกระทำของตนเอง เหมือนกับเรื่องราวของ CEO Starbucks Howard Schultz โฮวาร์ด ชูลท์ซ ที่เข้าร่วมทีมออกมาจากทีมผู้บริหารในปีค.ศ.2000 ได้กลับมาเข้าร่วมทีมผู้บริหารอีกครั้งในปีค.ศ.2008 สิ่งแรกที่เขาได้ทำก็คือการที่เขาเขียนขออภัยต่อพนักงานทั้งหมดจำนวน 180,000 คน เขาเขียนขออภัยและหลังจากนั้นจึงขอความช่วยเหลือในการขอ ความคิดเห็นที่จริงใจและไอเดียจากพนักงานทุกคน หลังจากนั้น Starbucks ก็สามารถเติบโตได้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่า
เรื่องราวนี้บ่งบอกบทเรียนอะไรกับเราบ้าง มันบ่งบอกว่า การเสียสละอีโก้ ความต้องการที่จะเป็นผู้ที่ถูกเสมอในทุกเวลา อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับทุกคนและไม่สามารถช่วยเหลือใครได้เลย บางครั้งอย่างต่ำแหน่งผู้บริหารที่ควรจะรู้หมดทุกอย่าง หากลดมันลงมา รับฟังคนอื่นมากขึ้น อย่ายึดติดกับภาพลักษณ์ หากเสียสละตัวตนลงมาบ้างนั้น มันจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมายและทำประโยชน์ได้มากกว่าที่จะคิดถึง
บทเรียนที่สาม พัฒนาการคือของจริง
” การเป็นคนที่สม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คุณไม่สมควรที่จะเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลาย และในโทรทัศน์ ความสม่ำเสมอคือสิ่งที่น่าเบื่อ และความน่าเบื่อคือการถูกไล่ออก..
ตัวละครนั้นควรจะพัฒนา เปลี่ยนแปลงและเติบโต ”
เราสามารถพัฒนาได้ทุกคน เรามีพลังที่จะขีดเขียนวงกลมล้อมเท้าเราไว้แล้วยืนอยู่อย่างนั้นหรือจะเลือกที่จะก้าวออกไปหาโอกาสทำสิ่งใหม่ๆเพื่อพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา พวกเรามีพลังในการเลือกเส้นทางในชีวิตของเราเอง มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับตัวและพัฒนา ถึงแม้ว่าบางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดก็มักจะพุ่งเข้าใส่หน้าเราได้ตลอดเวลา มันทำให้เราล้มลง จนต้องการการฟื้นคืนชีพ ซึ่งจะนำมาสู่บทเรียนบทที่ 4
บทเรียนที่สี่ การฟื้นคืนชีพนั้นเป็นไปได้
เดี๋ยวก่อน การฟื้นคืนชีพที่ว่านี้ ไม่ใช่การฟื้นจากความตายเสมอไปนะ แต่มันคือ การฟื้นคืนชีพจากความล้มเหลว ในละครน้ำเน่านั้น การที่ตัวละครตัวใดจะตายอย่างแน่นอน นิ่งสนิทนั้นแทบจะเป็นไปได้ยาก พวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาโลดแล่นในละครได้เสมอ มันจะมีวิธีแปลกๆที่จะฟื้นคืนชีพได้เลย เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่แน่นอน ชีวิตก็เช่นกัน ชีวิตไม่มีอะไรที่แน่นอน ตายตัว ความล้มเหลวมันไม่อยู่ตลอดไป การฟื้นคืนชีพลุกขึ้นมาใหม่เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
บทเรียนเหล่านี้คือสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จาก ละครน้ำเน่า Soap Opera บทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่ และหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรจดจำไว้เสมอว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ มันไม่เคยสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของตัวเอง ดังเช่นละครน้ำเน่า Soap Opera ที่ตราบใดที่มันยังไม่จบสิ้น เรื่องราวก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ.
ที่มา: ted.com