H&M แบรนด์เสื้อผ้าดังที่กำลังประสบวิกฤติ ไม่ว่าจะมีการลดราคามาบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่สามารถขายเสื้อผ้าได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้และมีเสื้อผ้ามากมายที่ผลิตมาต้องถูกทำลายทิ้งเนื่องจากไม่สามารถขายได้ รวมมูลค่าเสื้อผ้าที่ขายไม่ได้ของ H&M นั้นมีมูลค่ารวมถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ขาดทุน
Fast Fashion ที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
เสื้อผ้าของ H&M นั้นเป็นเสื้อผ้า Fast Fashion ที่มีสารเคมีจากกระบวนการย้อมผ้าและในแต่ละปีมีเสื้อผ้าที่ต้องทิ้งกว่า 10.5 ล้านตัน ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและคาดว่าหากมีเสื้อผ้าต้องถูกทิ้งมากขึ้นทับทมต่อไปย่อมจะเป็นภัยที่ร้ายแรงขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เนื่องจากกระบวนการผลิตที่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและเสื้อผ้าไม่ถูกนำไปใช้ได้เท่าที่ควร ทำให้มีเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งมากมายจนขาดทุนเป็นจำนวนถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและผู้คนก็เริ่มไม่ค่อยสนใจเสื้อผ้าของแบรนด์อีกต่อไปแล้ว ปีนี้อาจจะเป็นปีตัดสินชะตากรรมเลยก็เป็นได้ว่า H&M นั้นจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในฐานะแบรนด์เสื้อผ้า
แต่กระนั้นก็ยังมีข้อดีของเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งนั้นก็คือ จำนวนเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งของ H&M นั้นมีบางส่วนที่ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าแทนการใช้ถ่านหินได้
สูญเสียลูกค้าประจำไปมากมายหลังจากความผิดพลาด
ปัญหาหนึ่งที่ทำให้ยอดขายเสื้อผ้าของแบรนด์ H&M ตกต่ำลงนั้นก็คือการสูญเสียลูกค้าขาประจำจำนวนมากมายไป โดยเฉพาะหลังจากความผิดพลาดการส่งเสริมโฆษณาที่มีการเหยียดสีผิวที่ทำให้ชาวผิวสีโดยเฉพาะในพื้นที่แอฟริกาใต้นั้นโกรธเป็นอย่างมากและได้ทำการบุกทำร้ายร้านค้าเสื้อผ้าของ H&M นอกจากนี้ในแถบพื้นที่แอฟริกาใต้ผู้คนก็เริ่มไม่สนใจที่จะซื้อสินค้าของ H&M อีกต่อไปแล้ว ในขณะเดียวกันในยุคที่มีแบรนด์เสื้อผ้ามากมายที่เติบโตมากยิ่งขึ้นทำให้ H&M นั้นการเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ไม่สามารถครองใจลูกค้าประจำได้อีกต่อไป การดีไซน์หรือคุณภาพของผ้าที่ตกต่ำลงนั้นไม่ถูกใจลูกค้าขาประจำ แถมยังโดนแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ๆ แย่งลูกค้าขาประจำไปได้มากอีกด้วย ไม่ว่าจะลดราคาบ่อยแค่นั้นสถานการณ์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นมาสำหรับ H&M
การสูญเสียลูกค้าขาประจำเป็นสิ่งที่ทำให้ยอดขายตกลงเป็นอย่างมากของ H&M และเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกยังเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ภายในปีนี้ H&M จะต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ถ้าหากไม่อยากจะกลายเป็นแบรนด์ที่ต้องล้มหายจากไปจากการขาดทุนจำนวนมหาศาล
ที่มา: washingtonpost.com