Hermès ที่สุดแห่งกระเป๋าของผู้หญิงทุกคน จัดว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ Hi-End ที่เลอค่ามาก ต่อให้คุณจะมีเงินก็ใช่ว่าจะได้มาครอบครอง เพราะต้องผ่านการสแกนจากแบรนด์ก่อนว่าเหมาะไหม เรียกได้ว่ามีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ณ จุด ๆ นี้ต้องพกดวงไปด้วยนะจ๊ะ ด้วยความลักซ์ชัวรี่ของแบรนด์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่าร้อยปี ไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์จะยังได้รับความน่าเชื่อถือและยังเป็นที่ต้องการของเหล่าคนดังและคนมีเงินทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้กันดีก็คือกระเป๋าแบรนด์ดังกล่าวนั้นมีราคาสูงเสียดฟ้าชนิดที่ว่ากระเป๋าบางใบ บางรุ่น มีมูลค่ามากกว่ารถยนต์คันหรูซะอีก แต่ทำไม ? ถึงยังคงขายดิบขายดี จนผลิตแทบจะไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า
วันนี้เรามาหาคำตอบกันว่าเพราะอะไรกระเป๋าสุดหรูราคาโหด ถึงเป็นที่ต้องการขนาดนี้ พร้อมแล้วไปหาคำตอบกันกันเลย
คลาสสิกตลอดกาล
ปี 1837 เทียร์รี่ แอร์เมส (Thierry Hermès)เป็นผู้ก่อตั้ง เริ่มทำกิจการสตูดิโอ ผลิตอานม้า บนถนน rue Basse du Remparts ในกรุงปารีส ก่อนที่ Louis Vuitton จะก่อตั้งเป็นเวลา 17 ปี Hermès เป็นที่รู้จักในฐานะชนชั้นสูงและเป็นบ้านที่รักอานม้า ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดหาอานม้าให้กับจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3 เมื่องานเอ็กซ์โปปี 1867 Hermès นำรองเท้าแตะมาโชว์ ได้รับรางวัลเหรียญเงินทำให้มูลค่าของ Hermès ขึ้นทันที
ปี 1879 ชาร์ลส์ เอมิล แอร์เมส (Charles Émile Hermès) ทายาทรุ่น 2 ได้ย้ายสตูดิโอมาอยู่ที่ ถนน Rue du Faubourg Saint-Honore (ที่ตั้งในปัจจุบัน) ซึ่งสร้างเป็นร้านรองเท้าแตะ ทั้งผลิต ขายส่ง ขายปลีก ในอดีตถนนสายนี้เป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางชั้นสูง แอร์เมสใช้กลยุทธ์การขายปลีกโดยตั้งร้านในแหล่งที่ขุนนางชั้นสูงอาศัยอยู่ เพื่อเข้าถึงลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น อานม้าของ Hermès ได้รับรางวัลเหรียญเงินในงานเอ็กซ์โป 2 ครั้ง ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น
เพราะความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร อย่างความเป็นมาของกระเป๋าหนังรุ่น Kelly ก็มีความพิเศษ เพราะกระเป๋ารุ่นนี้ดังเป็นพลุแตกขึ้นมาในปี 1956 เกรซ เคลลี่ หรือเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกได้ใช้กระเป๋า Hermès รุ่น Sac à dépêches ซึ่งเป็นชื่อเดิม ปิดพระครรภ์ของพระองค์เอาไว้ เมื่อภาพถูกตีพิมพ์ออกไป ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่แฟชั่นนิสต้า กลายเป็นกระแสฮือฮา และไม่นานกระเป๋ารุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อรุ่น Kelly ตามพระนามของเจ้าหญิงเกรซ เป็นชื่อที่เรียกง่ายขึ้นเยอะเลย แถมยังจำได้ง่ายกว่าชื่อเก่าด้วย และในปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้ก็ยังมีออกมาเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเปลี่ยนโฉมของหนังหรือสีมามากมาย แต่ทรงของกระเป๋ายังคงเป็นแบบเดิมและคลาสสิก ถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยตกยุค
คุณภาพชั้นเยี่ยมของสินค้า
ความพิเศษของกระเป๋ายี่ห้อนี้ คือมีมาตรฐานและกระบวนการผลิตที่เข้มงวดอย่างมาก หนังของกระเป๋าปราศจากตำหนิ ตัวฮาร์ดแวร์จะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนและความหมองคล้ำ มีให้เลือกทั้งหนังวัว หนังแพะ แกะ นกกระจอกเทศ ไปจนถึงจระเข้ ซึ่งราคาของหนังจระเข้สูงสุดเนื่องจากไม่มีรอยขีดข่วนเลย ด้วยนำเข้าจากจระเข้ฟาร์มที่ฟลอริด้าน สหรัฐและออสเตรเลีย มีกระบวนการย้อมสี โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างมีคุณภาพ และส่งต่อช่างฝีมือเย็บด้วยมือตั้งแต่ต้นยันจบ ทำให้กระเป๋าทนทานมาก ใช้เวลาเย็บนานถึง 16 – 20 ชั่วโมง โดยช่าง 1 คนเย็บได้เพียงสัปดาห์ละ 3 ใบ และจะต้องรับผิดชอบซ่อมแซมกระเป๋าตลอดอายุการใช้งาน ด้วยคุณภาพของหนังที่คัดเลือกมาอย่างดีที่สุด รวมไปถึงกรรมวิธีการเย็บหนังด้วยฝีเข็มคู่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยความพิถีพิถันของการเย็บอย่างมีคุณภาพนี่เองจึงทำให้กระเป๋าใบนี้ต้องรับการเข้าคิวยาวนานกว่า 2 ปีถึงจะได้มีสิทธิซื้อได้ ทำให้กระเป๋าแอร์แมสได้รับการกล่าวถึงเป็นที่ต้องการด้วยคุณลักษณะเอกลักษณ์ที่เป็นที่ต้องการของสาว ๆ ทั่วโลก
หาซื้อยาก
กระเป๋าแบรนด์ดังที่ไม่ได้มีแค่เงินแล้วจะซื้อได้ เพราะต้องมีความอดทนในการรอสูงมาก ๆ เนื่องจากแอร์เมสทุกชิ้นใช้เวลาในการผลิตเป็นเวลานาน และยังมี Waiting List ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์เด็ดของแบรนด์ ที่ทำให้กลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ช็อปของแอร์เมสทั่วมีเพียง 300 กว่าสาขาเท่านั้น ทำให้ความต้องการของลูกค้ามากเกินกว่ากำลังในการผลิต จึงเป็นเหตุให้ลูกค้าต้องลงชื่อจองและรอคิว ยิ่งถ้าเป็นรุ่นพิเศษ หรือลิมิเต็ด เอดิชั่น แล้วละก็ยิ่งเป็นเรื่องยากที่ต้องฟาดฟันกันสุดความสามารถ เพื่อที่จะให้ได้กระเป๋าใบนั้นมาครอง
กำหนดกลุ่มลูกค้า
ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าใครที่ได้กระเป๋าแบรนด์นี้ไปครอบครองจะทำให้รู้สึกพิเศษขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอย่างที่บอกว่าใครจะสามารถซื้อกระเป๋าสุดหรูนี้ได้ไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียว Hermès มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นลูกค้าประจำ หรือผู้ที่มีบุคลิกเหมาะสมกับกระเป๋า หรือจะพูดง่าย ๆ คือต้องเป็นคนที่ทางแบรนด์มองเห็นแล้วว่าเหมาะสมและคู่ควร เพราะ Hermès ได้มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้แล้วคือพุ่งตรงไปที่ระดับ A+ ทั้งหมด แต่ถึงเงื่อนไขจะเยอะ แต่แฟชั่นนิสต้าก็พร้อมที่จะจองกระเป๋าแบรนด์หรูนี้กันข้ามปีเลยทีเดียว
ขายต่อเพื่อเก็งกำไรได้
นอกจากทรัพย์สินมีค่าแล้วทุกวันนี้กระเป๋าแบรนด์เนมอย่าง Hermès ก็มีมูลค่าที่มากมายไม่ต่างกัน เพราะในอีกสองถึงสามปีข้างหน้ากระเป๋าแบรนด์เนมของคุณอาจจะสามารถขายได้มากกว่าที่คุณเคยจ่ายไป ที่สำคัญแบรนด์หรูอย่าง Hermès ก็ยังคงอยู่ในความต้องการของผู้คนตลอดเวลา อย่างผลตอบแทนที่ได้จากการซื้อกระเป๋า Hermès Birkin ราคาขายคือสามารถทำกำไรได้ถึง 14.2% ต่อปี โดยแบรนด์เนมที่ขายต่อแล้วจะได้ราคาสูงควรมีคุณสมบัติเหล่านี้ เช่น วัสดุที่นำมาผลิตเป็นหนังสัตว์จากธรรมชาติ , เป็นสินค้าที่มาจากช็อปของแบรนด์โดยตรง , กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น หรือรุ่นคลาสสิก และแบรนด์ของกระเป๋ามีความน่าเชื่อถือ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตรงกับแอร์เมสทุกประการ
ปัจจุบัน Hermès ยังคงถือหุ้นใหญ่โดยครอบครัวของ Hermès ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ Hermès เป็นหนึ่งในสินค้าระดับสูงไม่กี่ยี่ห้อที่สามารถยืนระยะอยู่ได้ เคียงคู่กับ Chanel, Giorgio Armani และ Salvatore Ferragamo ความได้เปรียบของการบริหารงานแบบครอบครัวอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถบริหาร พัฒนาสินค้า และควบคุมตรวจสอบสินค้าได้อย่างเบ็ดเสร็จ นั่นทำให้พวกเขาสามารถรักษาคุณภาพสินค้าได้ดีกว่า ตราบเท่าที่พวกเขาพอใจที่จะไม่ผลิตอะไรไปมากกว่านี้