การฝึกเจริญสติในที่ทำงาน

 

ย้อนกลับไปในปี 2015 Harvard Business Review กล่าวไว้ว่า “การเจริญสติไม่ควรถูกมองว่าเป็น สิ่งที่มีแล้วดีสำหรับผู้บริหารอีกต่อไป มันเป็น สิ่งที่จำเป็นต้องมีเสียมากกว่า”
บุคคลชื่อดังระดับโลกเช่น Jeff Weiner, Bill Ford, Marc Benioff, Steve Jobs และ Arianna Huffington ล้วนแต่ต้องมีทักษะในการฝึกฝนเจริญสติ เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน

สำหรับคำว่า เจริญสติ หรือ mindfulness นั้นมีนิยามว่า : “ การฝึกฝนในการรักษาสภาพจิตสำนึกหรือความตระหนักในความคิดอารมณ์หรือประสบการณ์ของคน ๆ นั้นให้สมบูรณ์ในทุกช่วงเวลา “
พนักงานที่ได้รับการศึกษาในด้านนี้จะได้เรียนรู้ที่จะเพิ่มระดับการรับรู้ตนเอง เสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น จัดการความเครียดได้ดีขึ้น เอาใจใส่มากขึ้น ตัดสินผู้อื่นน้อยลงตั้งใจตั้งใจฟัง สื่อสารได้เข้าใจและชัดเจนยิ่งขึ้น

เรามีวิธีที่จะช่วยลดความรุนแรงทางอารมณ์ และช่วยให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ด้วยกัน ดัง 3 ข้อต่อไปนี้

 

1) ลดความก้าวร้าวในเวลาขัดแย้ง

ทุกองค์กรจะต้องมีความขัดแข้งเกิดขึ้นเวลาที่จะต้องตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ และนำไปสู่การใช้อารมณ์จนทำให้เรื่องบานปลายจนได้ เมื่อเราใช้อารมณ์เราจะไม่รู้จักการเปิดใจรับฟัง การเชื่อในอีกฝ่ายหรือการยืดหยุ่นในข้อคิดเห็นจนอาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อการตัดสินใจหรือการงานของเราได้
แต่ถ้าสถานที่ทำงานนั้นรู้จักใช้สติและมีการเจริญทางสติ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งซึ่งเราอาจนิยามว่าเป็นการอภิปรายหรือการอภิปรายที่มีความนุ่มนวลและไม่ใช้ความรุนแรง
– จุดเด่นของการเจริญทางสติคือการมุ่งเน้นไปที่วัตถุประสงค์การแก้ปัญหาและมีความอ่อนไหวและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น การใช้วิธีนี้จะช่วยให้ขับเคลื่อนผลลัพธ์ทำให้กลุ่มสามารถตัดสินใจได้อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

2) เพิ่มระดับความมั่นใจในตันเอง

การใช้ชีวิตในที่ทำงานมักจะปลูกฝังด้านที่ไม่ดีกับเรา อย่างเช่นการแข่งขันในการทำงาน, การมีความลับ, ความเห็นแก่ตัวและการลดชั้นลดอำนาจในที่ทำงาน ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ช่วยยกระดับความเชื่อมั่นในตนเองของเรานั้น คือคนที่ทำงานร่วมกับเราจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการเจริญทางจิตมาหรือกำลังฝึกฝนอยู่เหมือนกัน เมื่อเราอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีเราจะได้ทั้งการฝึกฝนการเจริญทางจิตรวมไปถึงเพิ่มความมั่นใจในตนเองมากขึ้นอีกด้วย

3) ลดระดับความเครียด

เมื่อเราทำข้อที่ 1 และข้อที่ 2 ได้ ก็จะเกิดเป็นผลลัพธ์ในข้อที่ 3 ก็คือความเครียดของเราจะลดลงนั่นเอง ระดับความวิตกกังวลที่ลดลงนั้นเป็นประตูที่เปิดสำหรับความรู้สึกด้านบวกความตื่นเต้นและความรู้สึกเร่งด่วนที่ดีต่อสุขภาพ – โดยพื้นฐานแล้วความเครียด ‘ดี’ ที่ผลักดันความอุตสาหะและนวัตกรรม

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn