3 วิธีคิดแบบนักลงทุน ที่ช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองได้

ชีวิตของนักลงทุนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะมักมีเรื่องแย่เกิดขึ้นและเต็มไปด้วยความเครียดตลอดเวลา – Elon Musk

Randy Paynter ยืนยันในสิ่งที่ Musk กล่าวนั้นเป็นความจริง เพราะแม้กระทั่งในงานแต่งงานของเขาเอง เขายังรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะการแต่งงาน แต่เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้อยู่ที่บริษัทเพื่อคอยตรวจเช็กความเรียบร้อย ในช่วงนั้นอยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นี้แค่ 1 ในเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียดที่ผมต้องเผชิญ และแน่นอนเหตุการณ์พวกนั้นมันมีเยอะจนเขาไม่สามารถนับได้

ในช่วงเวลานั้น Paynter ได้ฝึกสภาพจิตใจให้ดีขึ้นพร้อมรับสำหรับช่วงเวลาเคร่งเครียดในการทำงาน อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้า และนี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้จากเทคนิคของ Paynter


  1. พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

ต้องรู้จักทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายและรู้จักเรียนรู้จากมัน เมื่อไม่กี่ปีก่อน อีเมลของบริษัท Paynter ถูกแจ้งว่าเป็นอีเมลสแปมและโดนทาง Google ได้บล็อก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากกับทางบริษัทของเขา พวกเขาเลือกที่จะใช้วิกฤตนี้ปรับปรุงมาตรการและตรวจสอบความถูกต้องและความปลอดภัยของด้านเนื้อหาและข้อมูลที่ใส่ลงไปในเมลด้วยการเปลี่ยนมุมมองของเขา ทีมเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์แย่ ๆ ให้เป็นโอกาสในการปรับปรุงเนื้องานของพวกเขาให้ดีขึ้นมองเห็นข้อบกพร่องมากขึ้นและสามารถทำให้ทีมแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Paynter ได้เรียนรู้พัฒนาความคิดในแบบที่เขาเรียกว่า “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” มันไม่ง่ายเสมอไป เพราะความคิด สิ่งที่ได้ยินและได้ฟังต่าง ๆ นั้น นับว่าเป็นข้อมูลที่ได้รับเข้ามา ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับข้อมูลเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี เพื่อให้ไม่เกิดความเครียดแก่ตัวเอง เช่น เราอาจจะได้รับข้อมูลที่ไม่ดีหรือเรื่องแย่ ๆ มา เราต้องรู้จักนำเรื่องนั้นมาปรับใช้และรู้จักปรับปรุงจากสิ่งที่เราเคยทำผิดหรือเพื่อเป็นบทเรียน เมื่อเราเรียนรู้ที่จะปรับความคิด นั่นก็ทำให้เรารู้จักจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

เราควรรู้จักใช้คำถามดี ๆ เพื่อถามตัวเองเพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส “เราควรทำอย่างไรให้เราเอาชนะมันได้ ?” เปลี่ยนวิธีถามตัวเอง รู้จักพัฒนาตัวเองและให้กำลังใจตัวเอง เป็นวิธีที่ดีที่ควรฝึกฝนกระบวนการความคิดของคุณ


  1. เปลี่ยนพลังงานลบให้เป็นพลังงานบวก เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนความรู้สึกในแง่ลบให้เป็นประโยชน์

Amy Purdy นักกีฬาเหรียญเงินและทองแดงจากการแข่งขันพาราลิมปิก เธอได้กล่าวกับทาง ESPN ว่า “ความกลัวและความประหม่านั้นช่วยให้เธอชนะได้” เธอยังบอกอีกว่า “ความประหม่าและความตื่นเต้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันอาจจะช่วยให้คุณโชว์ศักยภาพตัวเองได้แย่ลงหรือดีขึ้นกว่าเดิมราว ๆ 15เปอร์เซ็นต์” ซึ่งเธอยังเล่าอีกว่า “การเปลี่ยนความรู้สึกในด้านลบนั้นช่วยเติมเชื้อเพลิงความอยากเอาชนะในการแข่งขันของเธอได้เป็นอย่างดี”

ในทางวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่าทั้งความตื่นเต้นและความวิตกกังวลที่ดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งสองความรู้สึกนี้มีกระบวนการหลั่งสารเคมีแบบเดียวกันในสมอง ทั้งยังมีการศึกษาของ Alison Wood Brooks  ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่ามีผู้ที่ใช้เวลาเพื่อเปลี่ยนความวิตกกังวลของพวกเขาเป็นความตื่นเต้นที่จะแสดงออกได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ทั้งในวิชาคณิตศาสตร์การแสดงดนตรีและการพูดในที่สาธารณะ

และทั้งหมดเราก็จะเห็นได้ว่าพลังงานนั้นก็เป็นเพียงพลังงาน มันขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะรู้จักนำมันมาปรับใช้ในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงนั่นเอง


  1. สภาพแวดล้อมถือเป็นเรื่องสำคัญ

การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับลูกทีมหรือแม้กระทั่งตัวเราเองนั้นนับว่าเป็นอีกเรื่องที่ควรใส่ใจ แต่การปลูกต้นไม้ หากเราเลือกที่จะปลูก ปลูกได้ไม่ดี แน่นอนว่าต้นไม้ต้นก็จะไม่โตไม่ว่าเราจะเฝ้ารดน้ำให้มันบ่อยแค่ไหน

การจะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือธุรกิจการงานก็ไม่ได้แตกต่างจากการเลือกปลูกต้นไม้ หนึ่งในความคิดที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะผู้ประกอบการและนักลงทุนคือ การมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดเพื่อให้เราและลูกทีมของเราได้เติบโตขึ้นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีก็คือ “คน” การที่เราทำงานท่ามกลางคนที่มีทัศนคติที่ดีหรือแนวความคิดที่ดีก็จะช่วยส่งเสริมเราได้ แต่หากเราอยู่กับคนที่มีทัศนคติและแนวคิดแย่ ๆ ก็สามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ให้ด้านลบต่อเราทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในเรื่องนี้มีการศึกษาหลาย ๆ อย่างที่แสดงให้เห็นว่าการที่เราอยู่ท่ามกลางคนในรูปแบบต่าง ๆ นั้น สามารถส่งผลในด้านความสำเร็จหรือล้มเหลวต่อเราได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ (การวิจัยจาก David McClelland จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)

ในด้านสภาพแวดล้อมนั้นยังรวมไปถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ตื่นนอน หากรู้สึกว่าตัวเองไม่กระปรี้กระเปร่าเวลาทำงาน ลองตั้งปลุกให้เช้าขึ้นเพื่อมาออกกำลังกายก่อนทำงาน มันอาจจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างสดชื่นขึ้น แถมยังมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูล entrepreneur

แปลโดย พรรษชล ทิทำ 

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn