ไม่ว่าใครก็อยากไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยกันทั้งนั้น และถ้าหากว่า Google Search คือภูเขา การได้ติด SEO อันดับต้นๆ ก็ไม่ต่างกับการได้พิชิตยอดเขานั้น ซึ่งถ้าหากคุณยังมีปัญหาเกี่ยวกับการพยายามสร้าง SEO แต่ไม่ประสบผลสำเร็จซักที นี่คือข้อมูลที่มีค่าที่จะช่วยให้คุณพิชิตยอดเขานี้ได้ง่ายขึ้น
บริษัท Blue Oceans Group ได้แบ่งปัจจัยการจัดอันดับเกี่ยวกับการทำให้ติด SEO โดยมีปัจจัยสำคัญๆ คือ
- ความยาวของเนื้อหา (Content length)
- ความยาวของประโยค (Sentence length)
- ความอ่านง่าย (Flesch reading ease)
- การกระจายหัวเรื่องย่อย (Sub-heading distribution)
- คีย์เวิร์ด (Keywords)
ความยาวของเนื้อหา (Content length)
หลายคนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่า Google ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่มีความยาวของเนื้อหาพอสมควร และยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของบทความ ไม่สั้น ไม่ยาวเกินไป และไม่ควรซ้ำกับที่อื่น แต่ข้อสงสัยที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ แล้วความยาวเท่าไรกันแน่ถึงจะดีที่สุด?
จากการจัดลำดับความยาวคอนเทนต์ตาม SEO ของ Blue Oceans Group ได้ผลลัพธ์ออกมาจาก ความยาวของเนื้อหาที่ดีที่สุด คือความยาวประมาณ 2,000 คำขึ้นไป แต่ไม่เกิน 2,500 คำ ซึ่งหมายความว่า คนอ่านตั้งใจเข้ามาอ่าน และใช้เวลากับการอ่านพอสมควร
ความยาวของประโยค (Sentence length)
เนื่องจากว่า Google ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์คุณภาพ ที่สามารถให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานได้สูงสุด ดังนั้นในเรื่องของความยาวของประโยค มีผลต่อความยากง่ายในการอ่านโดยตรง โดยจำนวนคำที่ Google แนะนำสำหรับความยาวแต่ละประโยค ควรยาวไม่เกิน 25% ของประโยค หรือประมาณ 20 คำต่อหนึ่งประโยคเท่านั้น
ความอ่านง่าย (Flesch reading ease)
ยังคงเป็นเรื่องของความอ่านง่ายแบบ reader-friendly แต่เป็นในแง่ของการจัดวาง โดยการจัดวางคอนเทนต์ ควรจัดให้มีการเว้นวรรค เคาะบรรทัด แบ่งพารากราฟ จัดวางหัวข้อ ให้อ่านง่าย ชัดเจน และที่สำคัญคือ ไม่ควรสะกดคำผิด
การกระจายหัวเรื่องย่อย (Sub-heading distribution)
ในเรื่องของการกระจายหัวข้อเรื่องแบบย่อยๆ ถ้าตามมาตรฐาน คือสามารถจัดลำดับความสำคัญของแต่ละหัวข้อในแบบ Main Heading (H1) – Sub-heading1 (H2) – Sub Sub-Heading (H3) โดยการกระจายหัวเรื่องย่อย ควรมีกระจายในทุกๆ 200 คำของคอนเทนต์ และในแต่ละบรรทัดที่ขึ้นต้นใหม่ก็ไม่ควรยาวเกิน 100 คำ
คีย์เวิร์ด (Keywords)
คีย์เวิร์ด คือกุญแจสำคัญในการพาให้คอนเทนต์ไปถึง SEO โดยคำแนะนำของ Google คือควรกระจายคีย์เวิร์ดในคอนเทนต์และหัวข้อให้สม่ำเสมอ แต่ไม่ควรเกิน 10% ของจำนวนคำทั้งหมด โดยคีย์เวิร์ด ควรไปปรากฎอยู่ใน Main Heading (H1) – Sub-heading1 (H2) – Sub Sub-Heading (H3) รวมไปถึง ใน Meta Title, Meta description และ ควรปรากฎอยู่ในแฮชแท็ก หรือลิ้งก์ URL ของเว็บไซต์ด้วย