ชวนมาชม 15 เมืองที่มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก โดยการสำรวจจาก Wealth-X’s 2019 Billionaire Census report และจากผลการสำรวจพบว่าเกือบ 30% ของประชากรมหาเศรษฐีของโลก ณ ปี 2018 นั้นอาศัยอยู่ภายใน 15 เมืองเหล่านี้
วันนี้เราอยากชวนมาชมความสวยงามของบ่อน้ำพุร้อนขั้นบันไดชื่อว่า Huanglong ที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่ง “Yellow Dragon” หรือ มังกรเหลืองนั่นเอง บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ภาคกลางของประเทศจีนในทางเหนือของเมืองเฉิงตูและถูกจดให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้
เบื้องหลังของ Konvy มาจากนักธุรกิจหนุ่มอายุ 30 ปี ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางมาก่อนแต่มีความชอบตลาดอีคอมเมิร์ซ และประสบการณ์ด้านอีคอมเมิร์ซ เขาเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 20 ปี นักธุรกิจหนุ่มคนนั้นก็คือ คิงกุ้ย หวง ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหลังจากที่เรียนจบนั้นก็ได้กลับมาทำธุรกิจที่บ้านเกิดคือประเทศจีนเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Chinafung.com เป็นแพลตฟอร์มมัลติแบรนด์แฟชั่น รวมดีไซเนอร์ที่มีแบรนด์ของตัวเอง แต่ทำการตลาดไม่เก่งเท่าไหร่มารวมขายในแพลตฟอร์มนี้ คิงกุ้ย มีตำแหน่งเป็น CMO แต่ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องผู้ลงทุน จึงออกมาทำอีกแพลตฟอร์มเป็นแบรนด์ตัวเองชื่อ Sixyard ต่อยอดจากการมีคอนเน็คชั่นกับดีไซเนอร์ เอาสินค้ามาทำแบรนด์ของตัวเองแล้วจำหน่ายใน Tmall ปรากฏว่าขายดี แต่ไม่มีกำไร เพราะคนจีนไม่ชอบแฟชั่นในประเทศ ชอบแฟชั่นทางตะวันตกมากกว่า และอีกอย่างคือที่ประเทศจีนตลาดอีคอมเมิร์ซมีการแข่งขันสูงมากถึงมากที่สุด จึงเกิดเป็น Konvy ขึ้นมา โดยที่เริ่มต้นก่อตั้งกับพี่ชาย และเพื่อนที่เป็นนักลงทุน คนรู้จักอีกนิดหน่อย เริ่มจากการพัฒนาเว็บไซต์ที่จีน และเริ่มเปิดตลาดที่ประเทศไทยซึ่งพี่ชายอาศัยอยู่ที่ไทยในขณะนั้น ตอนแรกอยากจะทำเหมือนกับ Lazada แต่ว่าตอนนั้นพบว่า Lazada ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้ว และมีแบ็คอัพที่ใหญ่มาก มีทุนหนามาก จึงลองมองเป็นตลาดบิวตี้เพราะว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง และเป็นสินค้าที่คนไทยชอบ มีการซื้อขายเยอะ มีแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาตลอด ตลาดโตขึ้นทุกปี จริง ๆ ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องสำอางอะไรเลย แต่คิดว่ามันมีโอกาสดีเท่านั้น” Konvy มาจากคำว่า Convenience แปลว่า ความสะดวกสบาย แต่เปลี่ยนจากตัว C เป็นตัว K ต้องการสื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าในการซื้อสินค้าบิวตี้ Konvy เป็นอีคอมเมิร์ซที่เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับแบรนด์ไม่ใช่มาร์เก็ตเพลสที่ให้ใครมาวางขายสินค้าก็ได้แต่เป็นแพลตฟอร์มในการช่วยแบรนด์ทำการตลาดด้านออนไลน์ตอนนี้มีแบรนด์ความงามเกิดขึ้นจำนวนมาก ในการช่วยทำการตลาดมีการเก็บค่าแรกเข้าเพื่อในการทำธุรกิจร่วมกัน Konvy ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจน เจาะแค่กลุ่มเดียว คิงกุ้ยมองว่า การทำตลาดในสินค้ากลุ่มบิวตี้ นั่นไม่ได้จำกัดแค่ขายเครื่องสำอางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เสริมกันอย่าง นิตยสารแฟชั่น […]
PANDORA ถือเป็นแบรนด์เครื่องประดับอัญมณีฝีมือประณีตที่มียอดการผลิตสูงที่สุดของโลก หลายคนก็เกิดข้อสงสัยว่าทำไมการเติบโตของธุรกิจเครื่องประดับของ PANDORA ถึงเติบโตได้ขนาดนี้ เราไปดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง PANDORA ก่อตั้งโดย Per และ Winnie Enevoldsen จากร้านค้าเล็ก ๆ ที่เป็นธุรกิจครอบครัว ในปี 1982 ที่ประเทศเดนมาร์ก ในกรุงโคเปนเฮเกน มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงโคเปนเฮเกน จำนวนพนักงานกว่า 21,500 คน ซึ่งเป็นช่างฝีมือเครื่องประดับอัญมณีมากถึง 12,400 คน ทุก ๆ สินค้าของ PANDORA 1 ชิ้น ใช้พนักงานถึง 30 คนหรือ 60 มือทำ ปฏิบัติงานอยู่ที่ฐานการผลิตในประเทศไทย และบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในเดนมาร์ค ปี 1987 เป็นปีแรกที่แพนดอร่ามี In-House Designer ออกแบบสินค้าเอง อีก 2 ปีต่อมา แพนดอร่าเริ่มต้นตั้งโรงงานในประเทศไทยเชื่อมั่นงานฝีมือในแรงงานไทยเหตุผลเนื่องจากฝีมือการทำงานของช่างฝีมือที่มีคุณภาพสูงสอดคล้องกับต้นทุนที่ทำให้แข่งขันได้ระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสมกับการการตั้งโรงงานและขนส่ง PANDORA ผลิตเครื่องประดับอัญมณีขายไปทั้งสิ้น 122 ล้านชิ้น ในปี 2559 แบ่งเป็นสัดส่วนจี้ประดับและสร้อยข้อมือ 77% แหวน 13% ตุ้มหู 5% สร้อยคอ 5% ซึ่งสินค้าที่ขายดีที่สุดคือจี้ประดับและสร้อยข้อมือ มีหน้าร้านทั้งหมด 8,100 ร้าน ซึ่งในร้านทั้งหมดนี้เป็นร้าน PANDORA concept stores 2,100 ร้าน มีวางจำหน่ายกว่า 100 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก PANDORA มีฐานการผลิต 3 แห่งในไทยคือ 1. โรงงานใหม่แห่งที่ 2 สาขาลำพูน 2. อาคารใหม่ TRIPLE A กรุงเทพฯ 3. โครงการปรับปรุงอาคารในนิคมอุตสาหกรรมอัญธานี กรุงเทพฯ แม้ว่า Pandora จะผลิตในประเทศไทย แต่ด้วยกฎเกณฑ์ของ BOI ทำให้โปรดักท์ที่ถูกสร้างสรรค์ในประเทศไทย ต้องถูกส่งออกไปต่างประเทศ โดยที่แพนดอร่า ไม่ได้จัดจำหน่ายด้วยตัวเอง แต่มี บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันมีร้านทั้ง 25 แห่ง แบ่งเป็น 19 แห่งในกรุงเทพและอีก 6 แห่งในต่างจังหวัด และมีแผนการขยายเพิ่มเติม มร. นีลส์ เฮแลนเดอร์ รองประธานอาวุโสสายงานการผลิตและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนดอร่า […]
เมื่อพูดถึงยีนส์ระดับตำนานเชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึงกางเกงยีนส์อย่างแบรนด์ ลีวายส์ อย่างแน่นอน เพราะ ลีวายส์ เป็นบริษัทที่ผลิตกางเกงยีนส์ตัวแรกของโลก โดยเฉพาะ รุ่น Levi’s 501 ที่มีประวัติยาวนานมากว่า 100 ปี และเป็นกางเกงยีนส์ที่ใครหลายคนอยากจะครอบครอง อะไรที่ทำให้กางเกงยีนส์ Levi’s ได้รับความนิยมแห่งยุคและเป็นตำนานแห่งวงการยีนส์ของโลก วันนี้เรามาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน ปี 1853 นายลีวายส์ สเตราส์ ได้เดินทางมาทำธุรกิจการค้าอุปกรณ์ทำเหมืองในซานฟรานซิสโก ซึ่งมีชาวเหมืองคนนึงได้บอกกับเขาว่ากางเกงของคนขุดเหมืองขาดง่ายมากอยากให้เขาหากางเกงที่ทนทานมาขายหน่อย เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วเขาได้เอาผ้าเต็นท์มาให้ นายจาคอบ เดวิส( Jacob Davis ) ช่างเย็บผ้า ตัดเป็นเสื้อและกางเกง แล้วนำออกจำหน่าย ซึ่งผลตอบรับดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ จนผ้าเต็นท์หมดไปเพราะขาดตลาด เขาจึงสั่งผ้าใบเรือมาตัดเสื้อผ้าแทน ต่อมาเขาได้สั่งผ้าหนาอีกหลายชนิดมาจากนิวยอร์ก และนำมาย้อมสีเป็นสีน้ำเงินคราม ที่เป็นสัญลักษณ์ของเสื้อผ้ากรรมกร ปี 1872 นายจาคอบ เดวิส( Jacob Davis ) ช่างเย็บผ้าในรัฐเนวาดา ได้เขียนจดหมายชักชวน นายลีวายส์ เกี่ยวกับการใช้ Rivet เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กางเกง หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ร่วมจดสิทธิบัตร ปี 1873 กำเนิดกางเกงย์ยีนส์ตัวแรงของโลก จากนายลีวายส์ สเตราส์ และนายเจค็อป เดวิส ร่วมกันตัดเย็บกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวและตรึงหมุดโลหะเป็นแนวลงมาตามขอบกระเป๋ากางเกงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง กางเกงตัวนี้กลายเป็นที่กล่าวขาญกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่มาสิทธิบัตรกางเกงยีนส์เฉดสีครามเข้ม ถือกำเนิดในวันที่ 20 พฤษภาคม 1873 กางเกงยีนส์ Levi’s รุ่น 501 เป็นรหัสกางเกงยีนส์รุ่นแรกที่ผลิตออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1873 ผลิตจากผ้าที่มีความหนา 90 ออนซ์และผลิตขึ้นที่โรงงานในอเมริกา Levi’s รุ่น 501 ถือเป็นกางเกงยีนส์รุ่นออริจินอลของแบรนด์ลีวายส์ แม้ว่าลีวายส์จะผลิตกางเกงยีนส์รุ่น 501 ออกมาอีกหลายเวอร์ชั่น แต่ Levi’s รุ่น 501 รุ่นออริจินอลขากระบอก Made in U.S.A. ก็ยังคงเป็นรุ่นคลาสสิกที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง […]
เชื่อว่า แลมโบกินี (Lamborghini) เป็นรถสปอร์ตในฝันของหลาย ๆ คน ด้วยเครื่องยนต์กำลังแรงและเทคโนโลยีชั้นยอด ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและดุดัน ทำให้ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง แต่รู้ไหมว่าจนกว่าจะเป็นที่ให้เป็นรถระดับซุปเปอร์คาร์อย่าง Lamborghini นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? และทำไมจึงเรียกรถแบรนด์นี้ว่าโลโก้วัวกระทิงกัน? วันนี้เราจะมาพูดถึงโลโก้ของรถหรูแบรนด์นี้ว่าจริง ๆ แล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร ไปดูพร้อม ๆ กันเลยว่าจะมีอะไรบ้าง ก่อตั้งโดย เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กีนี (Ferruccio Lamborghini) ซึ่งมีความชื่นชื่นชอบกีฬาต่อสู้อย่างวัวกระทิงบวกกับเป็นราศีเกิดของ จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์โลโก้วัวกระทิงมาถึงปัจจุบัน เขาเคยทำโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ขาย ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในกิจการ เขาได้ซื้อรถสุดหรูอย่าง Ferrari เป็นของขวัญให้ตัวเอง แต่เขาผิดหวังกับมัน เพราะเขาคิดว่ามันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น เขารู้วิธีที่จะทำให้มันดียิ่งขึ้น ในฐานะของผู้ใช้รถ Ferrari เขาเดินทางไปพบกับ ‘Enzo Ferrari’ เจ้าของ Ferrari ถึงที่โรงงาน เพื่อบอกถึงคำแนะนำที่จะพัฒนารถให้ดียิ่งขึ้น เอนโซ ได้ ตอกกลับเฟอรุชชิโอว่า เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกที่ได้ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับรถสปอร์ต ต่างกับเขาที่มีอยู่เต็มในสายเลือด คำดูถูกในวันนั้นทำให้เขาโต้ตอบ เอนโซ อย่างเจ็บแสบที่สุดด้วยการสร้างรถของเขาเอง โดยมีชื่อบริษัทว่า “Automobile Ferruccio Lamborghini S.P.A” ซึ่งห่างจากโรงงานของเฟอร์รารีเพียง 15 กม. เป้าหมายของเขาก็คือการผลิตรถสปอรต์ที่ดีที่สุดออกขายแข่งกับ “เฟอรารี่” คู่แข่งตัวสำคัญนั้นเอง ข้อได้เปรียบของลัมโบร์กินีก็คือ ก่อนที่จะหันมาเอาดีกับการผลิตรถสปอร์ทระดับ”ซูเพอร์คาร์” ลัมโบร์กินีมีโรงงานผลิตรถแทรคเตอร์อยู่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์บางแบรนด์นั้นอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างสมชื่อเสียงและเกียรติยศ แต่ไม่ใช่กับลัมโบร์กินีที่มีคำขวัญว่า “มาหาลัมโบร์กินี ถ้าต้องการรถที่ดีที่สุดในโลก” ความสำเร็จเกิดขึ้นเพียงชั่วคืน รถสปอร์ทแทบทุกรุ่นของ ลัมโบร์กินี ที่ผลิตออกสู่ตลาด ได้รับความนิยมจนผลิตขายแทบไม่ทัน โดยเฉพาะรถ ลัมโบร์กินี มีอูรา (LAMBORGHINI MIURA) ที่ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมรถยนต์ตูริน เมื่อปี 1965 และออกจำหน่ายสองปีหลังจากนั้น […]
ผู้หญิงกับเครื่องสำอางเป็นสิ่งที่คู่กันมานานแสนนานและแน่นอนว่าผู้หญิงไทยส่วนใหญ่เลือกใช้เครื่องสำอางจากต่างประเทศ หรือ ชื่อแบรนด์เป็นภาษาต่างชาติ เพราะสาวไทยมักคิดว่าดีกว่าเครื่องสำอางแบรนด์ไทยซึ่งความจริงแล้วเครื่องสำอางแบรนด์ไทยหลาย ๆ แบรนด์ก็มีคุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์ของต่างประเทศได้เลย อย่างแบรนด์ “ศรีจันทร์ ” ที่ไม่มีสาวไทยคนไหนไม่รู้จักเรียกได้ว่าต้องเคยสัมผัสหน้าของสาว ๆ มาแล้วเป็นอย่างแน่ จดทะเบียนเป็น บริษัท สหโอสถ จำกัด โดยคุณพงษ์ หาญอุตสาหะ เมื่อ พ.ศ. 2491 นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีเกี่ยวกับการผลิตยาและเครื่องสำอาง ในย่านวังบูรพา ต่อมาได้สร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นเครื่องสำอางสูตรสมุนไพรจีน คิดค้นโดย นพ.เหล็ง ศรีจันทร์ เลยให้ชื่อเรียกขานว่า “ผงหอมศรีจันทร์” หลังจากนั้นไม่นาน คุณพงษ์ ผู้ก่อตั้ง ได้ขอซื้อทั้งสูตรและกิจการมาจาก นพ.เหล็ง ก่อนจะเปลี่ยนชื่อกิจการมาเป็น บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กระทั่งปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่โดนใจคนไทย ตลอด 70 ปี “ผงหอมศรีจันทร์” จึงเป็นเครื่องสำอางที่ผู้หญิงจำนวนมากให้ความไว้วางใจบอกต่อกันรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อมาถึงยุคที่อะไร ๆ ก็ต้อง ดูคูล ดูดี สาว ๆ หลายคนอาจจะรู้สึกเขินอาย ถ้าต้องหยิบตลับเครื่องสำอางของแบรนด์ไทย ที่แพ็กเกจไม่ทันสมัยเอาซะเลยออกมาใช้ในที่สาธารณะ ทายาทกิจการรุ่นที่ 3 อย่าง คุณรวิศ หาญอุตสาหะ วิศวกรหนุ่มวัยเพียง 20 ปลาย ๆ ดีกรี MBA จากสหรัฐอเมริกา จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำในธนาคารแห่งหนึ่ง ที่กำลังกำลังไปได้สวย เพื่อมาช่วยประคองธุรกิจของครอบครัวที่กำลังถอยหลังเต็มที […]
รองเท้าช้างดาว ทนนานอยู่คู่คนไทยมาแล้ว 60 ปี จากเจเนอเรชันหนึ่งตกทอดมาถึงเจเนอเรชันสาม แฟชั่นรองเท้าเปลี่ยนไปไม่รู้เท่าไร แต่ช้างดาวสไตล์ก็ยังคงอยู่เหนือกาลเวลากว่านั้น อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้แบรนด์นี้ยังคงอยู่ คุณจักรพล จันทวิมล เป็นอีกคนที่โตมากับรองเท้านันยางอย่างแท้จริง ปัจจุบันเขาคือ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทายาทรุ่นที่สามของนันยาง ชายผู้ใส่เบอร์รองเท้านันยางของเขาไว้บนนามบัตร รองเท้าแตะนันยาง ตราช้างดาว’ คือชื่ออย่างเป็นทางการที่เกิดขึ้นภายใต้สายพานการผลิตของบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ที่เริ่มต้นจากรองเท้าผ้าใบเมื่อปี พ.ศ. 2496 2499 คือปีเกิดรองเท้าแตะตราช้างดาว กับรูปลักษณ์ที่ง่าย ๆ เป็นยางพารา 100 % พื้นสีขาวตัดกับสีของหูคีบสามสี และขอบด้านข้างอย่างน้ำเงิน แดง เขียว แต่จริง ๆ แล้ว แบรนด์ “ช้างดาว” เพิ่งใช้อย่างเป็นทางการมาแค่ 2-3 ปีนี้เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้คือ “รองเท้าแตะนันยาง” ตามชื่อบริษัท แต่คนทั่วไปมักจะเรียก “ช้างดาว” ตามโลโก้ของแบรนด์ที่มีรูปช้างและรูปดาวอยู่ คนสมัยก่อนที่มักจะเรียกยี่ห้อสินค้าเป็นชื่อสัตว์ต่าง ๆ ที่เห็นจากโลโก้ ทำให้เมื่อทางบริษัทจะเริ่มทำตลาดรองเท้าแตะอย่างจริงจัง จึงได้เริ่มใช้ชื่อ “รองเท้าแตะช้างดาว” อย่างเป็นทางการไปพร้อมกันด้วย มีหลาย ๆ คนมักเรียกว่า แตะขอบฟ้า หรือรองเท้าแตะสีขาวขอบน้ำเงิน […]
จุดกำเนิดของร้านขายสินค้าราคา 100 เยนนั้น กลับถือกำเนิดขึ้นบนพื้นฐานของความเรียบง่าย คิดง่าย ๆ ทำอะไรง่าย ๆ แต่กลับได้ผลตอบแทนมหาศาล บริษัท ไดโซ ซังเกียว ก่อตั้งโดยคุณยาโน ฮิโรทาเคะ (Hirotake Yano) ชายผู้ประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากแต่งงานได้กลับไป เพาะพันธุ์ปลาอามาจิ ที่บ้านเกิดของภรรยา แต่กลับล้มเหลว พร้อมกับต้อง ทั้งยังมีหนี้สินจำนวนมากที่ต้องแบกรับ พอทำงานบริษัทก็ไม่รอดจนต้องเปลี่ยนงานถึง 9 ครั้งจนเขาคิดว่าชีวิตหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเพราะค่านิยมของคนญี่ปุ่นไม่นิยมการเปลี่ยนงานบ่อยๆเพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดี ขณะที่ทำงานเขาก็บังเอิญเดินไป พบรถจักรยานจอด อยู่ 10 คัน เมื่อเดินเข้าไปดูเขาก็พบว่า เป็นรถสำหรับขายของเคลื่อนที่ คุณยาโน จึงเข้าไปขอฝากตัว เป็นลูกศิษย์ ศึกษาเรื่อง การค้าขาย คุณยาโนได้เปิดร้านเป็นของตัวเองเมื่ออายุ 29 ปี จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด หม้อ เครื่องมือช่าง และตั้งชื่อร้านว่า “ร้านยาโน“ (Yano Shoten) ที่เมืองทาคามัตสึ (Takamatsu) และต่อมาภายหลังได้กลายเป็น บริษัท DAISO จนถึงทุกวันนี้ เริ่มแรก 2 สามีภรรยาช่วยกันค้าขายแบบเคลื่อนที่ โดยที่สินค้ามีราคาแตกต่างกันไป แต่ในช่วงเวลานั้น เขามีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูลูกด้วย จึงเปลี่ยนวิธีการขายเพื่อให้สะดวกมากขึ้น โดยการติดราคาสินค้าให้เป็น 100 เยนทั้งร้าน คุณยาโนมีความอุตสาหะ ที่จะทำให้ร้านเจริญเติบโตมากกว่านี้ และด้วยแรงปราถนาของเขา เขาจึงขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นและตั้งเป็น บริษัท DAISO SANGYO ที่ตั้งเป็นบริษัท DAISO SANGYO เพราะชื่อ SANGYO(Industry) หรือ SHOUJIBUSSAN (Commercial Product) กำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่ผลตอบรับจากลูกค้าไม่ค่อยดีนัก และในขณะที่คุณยาโนกำลังคิดหาวิธีที่จะทำให้ลูกค้าเข้าร้านอยู่นั้น […]
เมื่อพูดถึงนาฬิกาที่ไม่ตกยุคและคลาสสิก เชื่อว่าทุกคนต้องคิดถึงแดเนียลเวลลิงตัน เพราะแบรนด์นี้มีความเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์ แค่เห็นแว้บแรกก็ต้องหลงรักไปตาม ๆ กัน ด้วยการออกแบบที่เพรียวบางและสะอาดตา ที่สำคัญเมื่อถามถึงราคาแล้วละก็ เชื่อว่าทุกคนพร้อมจะเทใจให้กับ DW แน่นอน ผู้ก่อตั้งคือ Filip Tysander ได้พบกับสุภาพบุรุษหนุ่มชาวอังกฤษที่มีสไตล์ไม่มีที่ติแต่ก็ไม่ดูประดิษฐ์เกินไป ชายหนุ่มผู้นั้นมีความหลงใหลในการใส่นาฬิกาแนววินเทจของเราบนสาย NATO ที่ดูเก่าและผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ชื่อของเขาก็คือ “Daniel Wellington” Filip จึงได้รับแรงบันดาลใจจากคนรู้จักคนใหม่ของเขาพร้อมกับสไตล์แบบไร้กาลเวลา เขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างไลน์ของนาฬิกาของตนเองขึ้นมา นาฬิกาของเขานั้นเป็นแบบเรียบง่ายและประณีต ที่มาพร้อมกับการออกแบบให้สามารถเปลี่ยนสายได้โดยมีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจให้เลือกได้หลากหลาย ไม่กี่ปีต่อมา แบบนี้ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่ทำให้ Daniel Wellington มีความพิเศษและไม่เหมือนใคร สาย NATO กองทัพเรืออังกฤษอาจเป็นผู้บุกเบิกสายแบบ NATO .ในยุค 70 แต่สายแบบนี้ได้พัฒนามาไกลมากนับจากนั้น สายแต่ละเส้นสามารถเปลี่ยนได้และบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปได้ และสามารถเปลี่ยนได้ เพื่อให้เหมาะกับเสื้อผ้า,โอกาส, และอารมณ์ของคุณ สายหนัง สายหนังแบบต่าง ๆ ของทำมาจากหนังแท้และมีให้เลือกในหลากหลายเฉดสีของสีน้ำตาลและสีดำ ด้วยการชุบเงินหรือโรสโกลด์ ดูความภูมิฐาน สะท้อนตัวตนได้อย่างดี จึงทำให้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สายสแตนเลสแบบถัก บ่งบอกถึงฝีมืออันประณีตงดงามสะท้อนความอ่อนนุ่มและน้ำหนักที่บางเบา จึงมั่นใจได้ว่านาฬิกาจะเข้ากับทุกท่วงท่าอย่างลงตัว สายแบบถักจากสแตนเลสนี้ใช้การประดับด้วยวิธีการชุบโลหะ มีให้เลือกในสีเงิน สีโรสโกลด์ หรือสีดำแบบด้าน และสามารถปรับความยาวได้อย่างง่ายดาย DW ยังเป็นของขวัญวันเกิดสุดล้ำค่าและคลาสสิกที่สาว ๆ จะต้องตกหลุมรัก เปลี่ยนสายได้ ลดความจำเจและน่าเบื่อของการใส่นาฬิกาแบบเดิม ๆ เพราะมาพร้อมฟังก์ชันการเปลี่ยนสายได้ตามใจชอบ ตามโอกาสการใช้งาน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนตามอารมณ์ สาว ๆ รับรองว่าสาว ๆ จะสนุกและรู้สึกเหมือนใส่นาฬิกาเรือนใหม่ในทุก ๆ […]