“คอนเทนต์ คือ ราชา.” คือหัวข้อของเรียงความที่ บิล เกตส์ได้เผยแพร่บนเว็บไซต์ Microsoft ค.ศ.1996 และประโยคที่สนับสนุนเหตุผลว่าทำไมกัน คอนเทนต์ ถึงคือราชาในยุคแห่งอินเทอร์เน็ตนั้นก็คือ “คอนเทนต์คือที่ที่ผมคาดหวังว่ามันจะสร้างเงินได้เป็นจำนวนมากบนโลกออนไลน์ เช่นเดียวกันกับการกระจายข่าวสารข้อมูล.” ในตอนนั้นมีเพียงบางส่วนของโลกเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้และผู้ที่รู้จักใช้ผลประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต รู้จักพลังแห่งคอนเทนต์ก็ต่างสำเร็จผลอันยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้ อย่าง แจ็ค หม่า เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้จักพลังแห่งคอนเทนต์และเริ่มต้นจากการสร้างเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลเล็กๆที่เป็นฐานก้าวไกลไปสู่เว็บค้าปลีกแห่งเอเชียได้ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจและแบรนด์ดังมากมายที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลยแต่ก็สามารถพัฒนาตนเองจนกลายเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะรู้จักพลังแห่งคอนเทนต์ บิล เกตส์ได้ทำนายอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ตล่วงหน้าไว้ถึง 20 ปีแล้วและสิ่งที่เขาทำนายไว้นั้นก็ถูกต้อง ยิ่งในทุกวันนี้ เป็นยุคที่ คอนเทนต์ คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์และธุรกิจ มันสามารถช่วยให้แบรนด์ก้าวไกลเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลได้ มันสามารถช่วยธุรกิจให้สามารถสร้างยอดขายมากกว่าเดิมได้ ถ้าหากคุณยังไม่เชื่อว่า คอนเทนต์นั้นมีพลังมากขนาดไหน มาอ่านเหตุผลที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพลังของคอนเทนต์มากขึ้นและรู้ว่าทำไมกันถึงต้อง ขนานนามมันว่า คอนเทนต์ คือ ราชา แห่งโลกออนไลน์ คอนเทนต์สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์และธุรกิจ คอนเทนต์ช่วยสร้างยอดขายใหม่ๆให้กับธุรกิจได้ คอนเทนต์ที่ดีช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วม คอนเทนต์ดีต่อ SEO คอนเทนต์คุณภาพ > คอนเทนต์ปริมาณมาก คอนเทนต์สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์และธุรกิจ พลังสำคัญของคอนเทนต์นั้นก็คือมันสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์และธุรกิจได้มากขึ้น เมื่อมีการเผยแพร่คอนเทนต์สู่โลกออนไลน์เกี่ยวกับสินค้าและบริการของแบรนด์จะช่วยให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ในอนาคตเรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์นั้นมากขึ้น พวกเขาจะสามารถเข้าใจว่า แบรนด์นั้นต้องการสื่อถึงอะไร ขายอะไรบ้างและทำให้พวกเขารู้จักแบรนด์มากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างแบรนด์หนึ่งที่มีคอนเทนต์ให้อ่านเกี่ยวกับสินค้าและบริการ มีคอนเทนต์อัปเดตใหม่ๆอยู่เสมอและอีกแบรนด์ที่ไม่มีคอนเทนต์ที่อัปเดต ไม่มีคอนเทนต์มากมายให้อ่านมากนัก […]
Marvel ค่ายคอมมิคและสตูดิโอชื่อก้องโลกที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินมาบ้าง โดยเฉพาะแฟนๆแนวฮีโร่ทั้งแบบคอมมิคและภาพยนตร์ก็จะยิ่งรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี แต่นอกเหนือจากการผลิตภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่คนรับชมถล่มทลายและการมีฐานแฟนจากคอมมิิคซูเปอร์ฮีโร่มากมายทั่วโลกแล้วนั้น ในแง่ด้านธุรกิจกว่า Marvel จะมีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ นั้นเคยล้มละลายมาก่อน ส่วนหนึ่งของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาจากเรื่องราวการล้มละลาย อ่านการพุ่งทยานสู่ความสำเร็จอันสูงสุดจากจุดที่ตกต่ำได้ในบทความนี้ ความล้มเหลวเป็นความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอหากไม่รู้จักปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เข้ากับยุค ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และการขายเพียงแค่คอมมิคซูเปอร์ฮีโร่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถช่วยให้ Marvel อยู่รอดได้อย่างแน่นอน จนกระทั่ง Marvel ได้พบหนทางใหม่ในการปลุกชีพให้กลับมาสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง Marvel สู่จอภาพยนตร์ เสน่ห์และจุดขายอันสำคัญของ Marvel นั้นก็คือการเขียนเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมผ่านหนังสือคอมมิคที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนสนุกมากมายพร้อมทั้งตัวละครซูเปอร์ฮีโร่อีกนับร้อยพันกว่าตัวละคร สิ่งเหล่านั้นคือจุดขายและทาง Marvel ก็ได้ทำการขายลิขสิทธิ์ของเรื่องราวคอมมิคอันยอดเยี่ยมและตัวละครเหล่านั้นให้กับสตูดิโอภาพยนตร์เพื่อนำมันไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ในช่วงปลายยุค 90’s ภาพยนตร์เรื่อง Blade และภาพยนตร์ตระกูล X-Men ประสบความสำเร็จและสร้างกำไรได้เป็นจำนวนมาก เมื่อ Marvel จากคอมมิคเริ่มเข้าสู่จอภาพยนตร์ทำให้มีฐานแฟนคลับหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากมายและยังถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนมาให้เข้ากับยุคสมัยที่ภาพยนตร์เป็นสิ่งยอดนิยมได้ดีอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น Marvel ก็ได้รับกำไรไม่มากนักเท่ากับสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา จักรวาลภาพยนตร์ Marvel พยายามยื่นข้อเสนอกับสตูดิโอมากมายเพื่อสร้างภาพยนตร์ของซูเปอร์ฮีโร่ที่พวกเขาถือครองลิขสิทธิ์อยู่เองจนในที่สุดในปีค.ศ.2005 พวกเขาได้รับทุนจำนวน 525 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการตกลงกับ บริษัท Wall Street Merrill Lynch ในการสร้างภาพยนตร์มากกว่า 10 เรื่อง อนาคตทั้งหมดของ Marvel […]
ในทุกๆปีช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเด็กอนุบาลกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยประถมศึกษา ช่วงฤดูกาลสอบคัดเด็กเข้าเรียน มีเด็กนักเรียนมากกว่า 1 พันคนต้องแข่งขันกับเพื่อเข้าโรงเรียนที่ผู้ปกครองคาดหวังไว้ซึ่งรับเด็กเพียงแค่จำนวน 100 คนเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการติวเด็กเล็กเพื่อสอบเข้า ทุ่มเทกับแต่เพียงเรื่องเรียนและละเลยสิ่งอื่น นอกจากนี้ เด็กที่ไม่ถูกคัดเลือกพวกเขาจะหายไปไหนกันล่ะ ยกเลิกการสอบเข้า ป.1 สมควรหรือไม่ เด็กเล็กไม่สมควรสอบ ช่วงวัยเด็กเล็กตั้งแต่ 0-8 ปีเป็นวัยที่ไม่ควรจะมีการสอบเลย ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้าหรือสอบในระหว่างชั้นเรียน เพราะในวัยเหล่านั้นเป็นวัยที่สมองกำลังมีการพัฒนา เป็นวัยสำคัญแห่งการเรียนรู้และเติบโตของเด็ก เป็นวัยที่พวกเขาสมควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วๆไป มิใช่ต้องนั่งตรากตรำท่องตำราเพื่อเรียนรู้ อีกอย่างเด็กๆ ทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกัน การใช้วิชาการมาเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเก่งพอหรือไม่ในการเข้าโรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง พวกเขาควรจะได้ใช้ชีวิตสมวัย เน้นเรียนตั้งแต่วัยเด็กคือภัยเงียบในอนาคต ผู้ปกครองล้วนคาดหวังอยากจะให้ลูกของพวกเขาได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดและนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การสนับสนุนให้เด็กๆใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาต้องการโดยไม่คำนึกถึงวัยเด็กเล็กที่พวกเขาสมควรจะเป็น ความกดดันที่ได้รับผ่านจากการส่งเสียบังคับให้ตั้งใจอ่านตำราเพื่อเตรียมเรียนป.1 ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย การเน้นให้เด็กเรียนมากจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่จะมีผลเสียตามมาต่อตัวของเด็กคนนั้นอย่างแน่นอน อีกหนึ่งทางเลือกที่จะมาแทนยกเลิกการสอบเข้า ป.1 ได้คือการสอบผู้ปกครองแทน และสอบถึงความสามารถในการเลือกลูกว่าสามารถเลี้ยงลูกของพวกเขาได้ดีหรือไม่ การเน้นเรียนตั้งแต่วัยเด็ก ส่งเสียให้เรียนพิเศษตั้งแต่เข้าอนุบาลนั้นเป็นภัยเงียบที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเด็กเองได้ในอนาคต แม้จะมีตัวอย่างเด็กที่เก่งในด้านการเรียนและครอบครัวทั้งหลายต่างคาดหวังให้ลูกของพวกเขานั้นเรียนหนังสือได้ดี แต่ใช่ว่าเด็กทุกคนมีความสามารถเหมือนกัน การเน้นให้สนใจแต่เรียนมากจนเกินไปจะทำให้เด็กขาดทักษะชีวิตและอาจจะก่อให้เกิดปัญหาการฆ่าตัวตายเนื่องจากความกดดันด้านการเรียนได้ในอนาคต ยกเลิกการสอบเข้า ป.1 สำหรับเด็กเล็กนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจและสมควรอย่างยิ่งแก่ตัวเด็กเอง เพราะพวกเขาคือเด็กและเด็กก็ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างวัยเด็ก มิเช่นนั้นถ้าหากเน้นแต่การเรียน เด็กที่เป็นอนาคตของชาติจะสามารถเรียนรู้ทักษะชีวิตได้จากที่ใดกัน
Netflix ได้ทำข้อตกลงกับ GMM Grammy เพื่อที่จะนำซีรีส์ชื่อดังอย่าง ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น หรือ ภาพยนตร์ดังอย่างเรื่อง ฉลาดเกมโกง เพื่อลงสู่จอ Netflix และยังมีรายชื่อซีรีส์ไทยใหม่ๆอีกหลากหลายเรื่องเพื่อสู่สายตา ชาว Netflix กว่า 120 ประเทศ ก้าวใหม่อันยิ่งใหญ่ของวงการคอนเทนต์ไทย การร่วมมือของค่าย GMM Grammy และ Netflix ถือว่าเป็นการร่วมมืออันยิ่งใหญ่สำหรับวงการคอนเทนต์ไทยในทุกๆบทบาทตั้งแต่เบื้องหลังยันเบื้องหน้า ก้าวอันยิ่งใหญ่นั้นก็คือวงการคอนเทนต์ไทยจะได้มีโอกาสได้ออกสู่สายตาผู้ชมที่มากกว่า 190 ประเทศ ถ้าหากผลตอบรับออกมาดีแน่นอนว่าวงการคอนเทนต์ไทยของเรานั้นก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้ การแข่งขันและคุณภาพของคอนเทนต์ไทยนั้นก็จะสูงขึ้นมากอย่างแน่นอนซึ่งเป็นผลดีสำหรับเหล่าผู้ชมที่จะได้รับชมคอนเทนต์ไทยที่มีคุณภาพและความหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ฐานผู้ชม Netflix ไทยกำลังเติบโต Netflix ประเทศไทยตั้งแต่มีการเปิดตัวมาก็มีสมาชิกที่สมัครมากขึ้นเรื่อยๆและจำนวนก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปและ Netflix ก็ลงทุนกับประเทศไทยมากกว่าที่คาดคิดไว้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการโปรโมท การโฆษณาหรือการจับมือกับ GMM Grammy เพื่อนำคอนเทนต์ไทยมาลง Netflix ก็เพื่อที่จะขยายฐานผู้ชมใน Netflix ในไทยให้มีมากขึ้นกว่านี้เพราะตอนนี้ฐานผู้ชมกำลังเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นช่วงเวลาน้ำขึ้นต้องรีบตักอย่างยิ่งสำหรับ Netflix ต่อจากนี้ก็จะสามารถพบเห็นโฆษณา โอกาสพิเศษจาก Netflix ประเทศไทยได้มากขึ้นอย่างแน่นอนและอีกไม่นานก็จะมีคอนเทนต์เพิ่มขึ้นไม่แพ้ต่างประเทศเลยล่ะ หลังจากความร่วมมือนี้เหล่าผู้ชม Netflix จะได้คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีกในการจ่ายเงินสมัครเป็นสมาชิก […]
หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะได้รับประสบการณ์การท่องเที่ยวประเกาหลีใต้อย่างเต็มรูปแบบแต่ไม่ชอบการไปรวมกลุ่มไกด์ทัวร์ท่องเที่ยว คุณสามารถจ้างบริการ Oh My Oppa บริการให้เช่า หนุ่มหล่อเกาหลี หรือที่เรียกว่า ‘โอปป้า’ มาเป็นทัวร์ไกด์สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ของคุณได้ หรือถ้าหากคุณเบื่อที่จะท่องเที่ยวคนเดียวการใช้บริการ Oh My Oppa ก็จะช่วยให้คุณท่องเที่ยวได้อย่างไม่โดดเดี่ยวได้แต่พึ่งระวัง บริการนี้ไม่ใช่บริการสำหรับให้เช่าคู่เดท เป็นเพียงแค่ให้เช่าหนุ่ม โอปป้า มาเป็นทัวร์ไกด์เท่านั้น ไม่ใช่บริการเพื่อนเที่ยวหรือคู่เดทแต่เป็นบริการไกด์ทัวร์ สิ่งหนึ่งที่บริการ Oh My Oppa ได้ระบุไว้ชัดเจนนั้นก็คือบริการนี้ไม่ใช่บริการสำหรับให้เช่าเพื่อนเที่ยวที่จะมาทำตัวเป็นคู่เดทหรือเป็นบริการอย่าง Host นี่คือบริการไกด์ทัวร์ที่คุณสามารถเลือกไกด์ทัวร์หนุ่มหล่อ โอปป้า ตามภาพจดจำจาก โอปป้า ในซีรีส์เกาหลีที่ชาวต่างชาติต่างชื่นชอบต่างหาก เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้การท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้เป็นไปอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการและให้ได้สัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดกับคนเกาหลีและวัฒนธรรมประเทศให้มากยิ่งขึ้น CEO ของบริษัทภายใต้บริการ Oh My Oppa นายลี จุน วู (Lee Joon-woo) ได้พูดถึงความคิดเริ่มต้นที่ต้องการจะนำเสนอ ผู้ชายสมบูรณ์แบบที่ชาวเกาหลีนั้นภูมิใจและภาพจำจากซีรีส์เกาหลีมาทำบริการท่องเที่ยวนำเสนอชาวต่างชาติ ผ่าน The Korea Herald ไว้ดังนี้ “พวกเราเคยคิดว่าพวกเราอยากจะนำเสนอนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยผู้ชายในแบบที่พวกเราภูมิใจ ถึงแม้ว่าในตอนแรกมันจะเป็นเพียงแค่เรื่องขำๆ แต่พวกเราก็ทำตามความคิดริเริ่มของพวกเราจนก่อร่างเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา หลังจากนั้นกระแสจากโซเชียลมีเดียนั้นออกมาดีเกินกว่าที่พวกเราคาดหวังไว้ จนเริ่มกลายเป็นบริการจริงๆ.” เลือก โอปป้า ของคุณ บริการของ Oh My Oppa […]
Starbucks โดนประท้วงอย่างหนักหน่วงหลังจาก ผู้จัดการร้านกาแฟ Starbucks สาขาของรัฐฟิลาเดลเฟีย, สหรัฐอเมริกา ได้ทำการไล่ชายผิวสีสองคนที่ไม่สั่งเครื่องดื่มออกจากร้านและเรียกตำรวจให้มาจับกุมพวกเขาออกจากร้าน Starbucks ซึ่งถือว่าเป็นการขัดต่อนโยบายของร้านและการกระทำนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อผู้คนเป็นจำนวนมากที่เลือกปฏิบัติและเหยียดสีผิว นโยบายของ Starbucks การกระทำที่ขัดต่อนโยบายของร้าน Starbucks นั้นก็คือการไล่ลูกค้าออกโดยไม่มีเหตุผลใดที่ถูกต้องพอและการไล่ชายผิวสีสองคนออกจากร้านเพียงแค่พวกเขาไม่ได้สั่งเครื่องดื่มถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของ Starbucks อย่างยิ่ง เนื่องจากนโยบายสำคัญของ Starbucks ก็คือ ทุกคนสามารถเข้ามานั่งนานเท่าใดก็ได้ภายในร้านตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ก่อความรบกวนแก่ลูกค้าคนอื่นในร้านค้าและทาง Starbucks ไม่มีสิทธิที่จะไปไล่ลูกค้าออกจากร้านเพียงแค่พวกเขายังไม่สั่งเครื่องดื่ม คำขอโทษจาก CEO Starbucks เมื่อข่าวของการไล่ชายผิวสีสองคนออกจากร้านกาแฟเพียงแค่เพราะพวกเขากำลังรอเพื่อนพวกเขามาอยู่ก่อนที่จะสั่งกาแฟไปถึงหูของ CEO Starbucks Kevin Johnson ก็ได้ออกมาขอโทษถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีพร้อมถึงได้ทำการไล่ผู้จัดการของร้านสาขาที่ทำการไล่ชายผิวสีสองคนนั้นออกอีกด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการขอโทษจาก CEO Starbucks แล้วแต่ก็ยังมีการประท้วงเพื่อคว่ำบาตร Starbucks เนื่องจากการกระทำเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นนี้อยู่ และหลังจากนี้ทาง Starbucks ก็ได้เพิ่มมาตรการการฝึกฝนพนักงานให้เข้มงวดมากขึ้นพร้อมทั้งยังจะมีการตรวจสอบการทำงานของพนักงานร้าน Starbucks ให้รัดกุมมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยหลังจากนี้ ที่มา: bbc.com
ภายในช่วงระยะเวลาปีสองปีที่ผ่านมา เสื้อผ้ารูปแบบหนึ่งที่กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากสามารถพบเห็นได้แทบทุกท้องที่ก็คงจะไม่พ้น เสื้อฮาวาย ที่มีลวดลายสวยงามหลากสีสันสดใส ใครๆ ก็ใส่กันเป็นหนึ่งในไอเทมยอดนิยมที่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถเอามาขายได้และยังสามารถใส่ได้ทุกฤดูกาลในประเทศไทยอีกด้วย ทำไม เสื้อฮาวาย มันถึงฮิตกันล่ะ มาอ่านกันเถอะว่า ทำไมเสื้อฮาวายมันถึงฮิต และ การใส่เสื้อฮาวายถือว่าเป็นการตามกระแสแฟชั่นหรือไม่ เสน่ห์ของเสื้อฮาวาย ทำไมมันถึงฮิต การใส่เสื้อฮาวาย การตามกระแสหรือไม่ตามกระแส อย่าพึ่งเหมารวมคนใส่เสื้อฮาวาย เสน่ห์ของเสื้อฮาวาย เสน่ห์ของเสื้อฮาวาย นั้นก็คือ การตัดเย็บที่ทำให้สวมใส่สบายและมีดีไซน์สีสันหลากหลายสีสันพร้อมกับยังมีลายเสื้อผ้าที่สวยงามเป็นที่สะดุดตาอีกด้วย ทำให้สามารถนำมาสวมใส่ได้สบายๆ เข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัว แต่ที่สำคัญคือเสื้อฮาวายนั้นสวมใส่สบายช่วยระบายความร้อนได้ซึ่งเหมาะกับ ประเทศไทยที่มีอากาศร้อนเป็นอย่างยิ่ง แต่ความงามของการออกแบบของ โคอิจิโร มิยาโมโตะ (Koichiro Miyamoto) ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นที่มีห้องเสื้อชื่อ Musa-Shiya ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะฮาวาย เขาใช้ผ้ากิโมโนมาตัดเย็บให้เป็นเสื้อฮาวายและมีจำหน่ายที่เดียวเพียงแค่เกาะฮาวาย ตั้งแต่ปี ค.ศ.1935 มาจนถึงปัจจุบันดีไซน์ของเสื้อฮาวายของ Musa-Shiya ก็ยังคงความงดงามและเสน่ห์ของฮาวายไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นเสื้อผ้าที่นิยมมานานแสนนานแล้วเพราะดีไซน์ที่สวยงามของมันนั้นเอง ทำไมมันถึงฮิต ถ้าจะตามหาสาเหตุว่าทำไมมันถึงฮิตที่ต้นตอแท้จริงแล้วนั้นก็คงไม่สามารถสรุปได้ บางคนก็ว่ามันเป็นที่นิยมเพราะมีนักร้องชื่อดังได้สวมใส่กันบ่อยๆ บางคนก็ว่ามันเป็นสไตล์การแต่งตัวที่นิยม บางคนก็มองว่ามันคือเสื้อผ้าลายสวยงามที่สามารถซื้อได้ทั่วไปในราคาไม่แพงบางคนก็มองว่ามันเป็นกระแสการแต่งตัวของวัยรุ่นยุคนี้ที่นิยมใส่กัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มันฮิตและเห็นได้ชัดเจนนั้นก็คือ การตัดเย็บที่สวมใส่สบายและลวดลายที่มาพร้อมสีสันที่สวยงามที่รับรองว่ามันโดนใจใครต่อใครหลายคนอย่างแน่นอน การใส่เสื้อฮาวาย ตามกระแสหรือไม่ตามกระแส เสื้อฮาวาย กลายเป็นเสื้อผ้าที่ฮิตจนสามารถพบเห็นผู้คนสวมใส่ได้ทุกที่ เผลอๆคุณอาจจะสวมใส่ลายซ้ำกับคนเป็น 10 คนที่คุณเจอวันนี้เลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองที่ตอนนี้เสื้อฮาวายนั้นฮิตเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่ชาวไทยที่สวมใส่แต่รวมถึงชาวต่างชาติ ทั้งเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ก็สวมใส่เสื้อฮาวายกันทั้งนั้น […]
MasterChef Thailand รายการเกมโชว์ทำอาหารที่คัดเลือกผู้เข้าแข่งมือสมัครเล่นที่ต้องการจะเดินทางเป็นเชฟทำอาหารมืออาชีพและด้วยเรตติ้งของรายการที่มาแรงทำให้สามารถคว้าเรตติ้งขั้นต่ำได้ถึง 4.0 ในช่อง 7 โดยล่าสุดเรตติ้งสามารถเอาชนะการแข่งขันวอลเล่บอล์และรายการไมค์ทองคำ รายการที่กระแสมีผู้คนรับชมมากมายมาอ่านกันว่า ทำไมกันมันถึงฮิต ความลงตัวของการทำงานทุกฝ่าย การตัดต่อชั้นยอด ดราม่าและการแข่งขันที่ถูกใจทุกคน ความลงตัวของการทำงานทุกฝ่าย ก่อนจะมีรายการเรียลริตี้เบื้องหน้าที่แสนสนุกก็ต้องเป็นงานของเบื้องหลังที่ต้องรังสรรค์เนรมิตทำให้รายการเรียลริตี้ออกมาสนุกตั้งแต่โปรดักชั่น การเตรียมพร้อมและการคัดเลือกกรรมการที่เป็นเชฟผู้มีฝีมือและฝีปากอันยอดเยี่ยมที่สามารถพูดให้คำแนะนำได้ตรงและมีชั้นเชิงในการให้คำแนะนำเพื่อพัฒนาให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถพัฒนาตนเองได้มากที่สุด การทำงานเบื้องหลังทุกอย่างเป็นการทำงานที่ลงตัว ทุกฝ่ายจึงทำให้รายการเรียลริตี้นี้ออกมาดี มีความคิดสร้างสรรค์และสดใหม่อยู่เสมอๆ ไม่น่าเบื่อจำเจ การตัดต่อชั้นยอด รายการเรียลริตี้มีความเชื่อที่หลายคนยังติดภาพกันอยู่นั้นก็คือ ต้องเป็นการเตี้ยมหรือเป็นบทสคริป แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่การเตี้ยมหรือบทสคริปที่ทุกคนต่างมาเล่นละคร แต่มันคือฝีมือของทีมงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะฝ่ายตัดต่อที่สามารถตัดต่อฉากเด็ดๆ ฉากสนุกๆ มาสร้างสีสันให้รายการเรียลริตี้สนุกมากขึ้นและการถามคำถามสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขันเพื่อให้ได้มีซีนผู้เข้าแข่งขันที่น่าจดจำผ่านการตัดต่อที่กระชับต่างช่วยให้ผู้คนจดจำผู้เข้าแข่งขันได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญการลงทุนในการถ่ายทำที่มีกล้องคอยจับภาพการทำอาหารของผู้เข้าแข่งขันแทบทุกคนและมีการจับภาพหลากหลายมุมมองทำให้รายการมี Footage ไว้ใช้สำหรับตัดต่อให้รายการออกมาสนุกและสร้างสรรค์อารมณ์ได้หลายอารมณ์ตั้งแต่ตลก, สนุก, ดราม่า ไปจนถึงซึ้งน้ำตาไหลได้ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมงในการออกอากาศ การแข่งขันที่คาดเดาไม่ถึง ไม่มีใครที่ชอบรับชมรายการเรียลริตี้ที่สามารถคาดเดาได้ง่ายและเพื่อสร้างรายการเรียลริตี้การแข่งขันทำอาหารให้คนรักและติดตามอย่างจดจ่อสม่ำเสมอนั้นก็คือ การสร้างเกมการแข่งขันที่คาดเดาไม่ถึงไปจนถึงการคัดผู้เข้าแข่งที่มีความสามารถเพื่อทำให้คาดเดาได้ยากยิ่งขึ้นว่าใครกันแน่จะสามารถคว้าตำแหน่ง MasterChef Thailand คนที่ 2 ไปได้ และการแข่งขันที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รายการไต่ระดับความสนุกขึ้นไปได้เรื่อยๆ ถ้าเป็นคนที่รักในการทำอาหารจะยิ่งหลงรัก MasterChef Thailand และหากเป็นคนที่ชอบรับประทานอาหารเป็นชีวิตจิตใจก็จะตกหลุมรักรายการนี้มากเช่นเดียวกัน รายการเรียลริตี้นี้ทำออกมาให้ผู้ชมรักและหลงใหลในการทำอาหารมากขึ้นแถมได้ความรู้ติดตัวไปพร้อมกันอีกด้วย จึงไม่แปลกใจเลย เมื่อรวมการแข่งขันที่สนุกคาดเดาไม่ได้และการตัดต่อที่สนุกกระชับเข้าด้วยกันจึงทำให้ รายการเรียลริตี้นี้มาแรงและถูกใจผู้คนเป็นจำนวนมาก
นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ร่วมชมการแสดงพิเศษจากคณะศิลปินของเกาหลีใต้ อาทิ เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง Red Velvet และซอฮยอน จาก “Girls’ Generation” และศิลปินอีกมากมาย ณ กรุงเปียงยาง เพื่อกระชับความสัมพันธ์สองเกาหลี วันนี้ (2 เม.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ และนางรี ซอลจู ภริยา พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเปียงยาง รวมถึงนายคิม ยองนัม ประธานสภาประชาชนสูงสุดแห่งชาติ และน.ส. คิม โยจอง น้องสาวของนายคิม จองอึน เดินทางไปยังโรงละคร “อีสต์ เปียงยาง แกรนด์” ขนาดความจุ 1,500 ที่นั่ง ในกรุงเปียงยาง เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อร่วมชมคอนเสิร์ตจากศิลปินเกาหลีใต้ โดยมีนายดู จองฮวาน รมว.กระทรวงกีฬาและวัฒนธรรมของเกาหลีใต้รอต้อนรับ ทั้งนี้ สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่า นายคิม จองอึน ถือเป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนแรกซึ่งเข้าร่วมชมการแสดงของศิลปินจากเกาหลีใต้ […]
H&M แบรนด์เสื้อผ้าดังที่กำลังประสบวิกฤติ ไม่ว่าจะมีการลดราคามาบ่อยแค่ไหนก็ยังไม่สามารถขายเสื้อผ้าได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้และมีเสื้อผ้ามากมายที่ผลิตมาต้องถูกทำลายทิ้งเนื่องจากไม่สามารถขายได้ รวมมูลค่าเสื้อผ้าที่ขายไม่ได้ของ H&M นั้นมีมูลค่ารวมถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ขาดทุน Fast Fashion ที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม เสื้อผ้าของ H&M นั้นเป็นเสื้อผ้า Fast Fashion ที่มีสารเคมีจากกระบวนการย้อมผ้าและในแต่ละปีมีเสื้อผ้าที่ต้องทิ้งกว่า 10.5 ล้านตัน ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและคาดว่าหากมีเสื้อผ้าต้องถูกทิ้งมากขึ้นทับทมต่อไปย่อมจะเป็นภัยที่ร้ายแรงขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เนื่องจากกระบวนการผลิตที่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและเสื้อผ้าไม่ถูกนำไปใช้ได้เท่าที่ควร ทำให้มีเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งมากมายจนขาดทุนเป็นจำนวนถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและผู้คนก็เริ่มไม่ค่อยสนใจเสื้อผ้าของแบรนด์อีกต่อไปแล้ว ปีนี้อาจจะเป็นปีตัดสินชะตากรรมเลยก็เป็นได้ว่า H&M นั้นจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในฐานะแบรนด์เสื้อผ้า แต่กระนั้นก็ยังมีข้อดีของเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งนั้นก็คือ จำนวนเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งของ H&M นั้นมีบางส่วนที่ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าแทนการใช้ถ่านหินได้ สูญเสียลูกค้าประจำไปมากมายหลังจากความผิดพลาด ปัญหาหนึ่งที่ทำให้ยอดขายเสื้อผ้าของแบรนด์ H&M ตกต่ำลงนั้นก็คือการสูญเสียลูกค้าขาประจำจำนวนมากมายไป โดยเฉพาะหลังจากความผิดพลาดการส่งเสริมโฆษณาที่มีการเหยียดสีผิวที่ทำให้ชาวผิวสีโดยเฉพาะในพื้นที่แอฟริกาใต้นั้นโกรธเป็นอย่างมากและได้ทำการบุกทำร้ายร้านค้าเสื้อผ้าของ H&M นอกจากนี้ในแถบพื้นที่แอฟริกาใต้ผู้คนก็เริ่มไม่สนใจที่จะซื้อสินค้าของ H&M อีกต่อไปแล้ว ในขณะเดียวกันในยุคที่มีแบรนด์เสื้อผ้ามากมายที่เติบโตมากยิ่งขึ้นทำให้ H&M นั้นการเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ไม่สามารถครองใจลูกค้าประจำได้อีกต่อไป การดีไซน์หรือคุณภาพของผ้าที่ตกต่ำลงนั้นไม่ถูกใจลูกค้าขาประจำ แถมยังโดนแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ๆ แย่งลูกค้าขาประจำไปได้มากอีกด้วย ไม่ว่าจะลดราคาบ่อยแค่นั้นสถานการณ์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นมาสำหรับ H&M การสูญเสียลูกค้าขาประจำเป็นสิ่งที่ทำให้ยอดขายตกลงเป็นอย่างมากของ H&M และเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกยังเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ภายในปีนี้ H&M จะต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ถ้าหากไม่อยากจะกลายเป็นแบรนด์ที่ต้องล้มหายจากไปจากการขาดทุนจำนวนมหาศาล […]