ถ้าเปรียบเทียบ กับ วัตถุ คนนั้นแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ติดไฟได้… ไม่ติดไฟ… และลุกไหม้ได้เอง… วัตถุที่ติดไฟจะลุกไหม้เมื่อเข้าสัมผัส กับ เปลวไฟ วัตถุที่ไม่ติดไฟจะไม่มีทางเกิดการเผาไหม้แม้จะเข้าสัมผัส กับ เปลวไฟ ส่วนวัตถุที่ลุกไหม้ได้เองนั้นจะมีการเผาไหม้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเข้าสัมฝัส กับ เปลวไฟ คนเราก็เช่นกัน… คนบางกลุ่มสามารถจุดไฟแห่งความกระตือรือร้นขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาเติมเชื้อเพลิง… อีกกลุ่มสร้างความกระตือรือร้นได้ด้วยการเข้าใกล้กลุ่มคนที่เป็นดั่งเชื้อเพลิง… ส่วนอีกกลุ่มไร้ซึ่งความกระตือรือร้นโดยสิ้นเชิง… คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เป็นคนที่มีไฟในตัวเอง… และยังสามารถส่งต่อพลังงานเชื้อเพลิง สร้างความกระตือรือร้นให้คนรอบตัวได้อีกเสียด้วย… ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทใด… จงคบหาสมาคมกับกลุ่มคนที่เป็นดังวัตถุที่ลุกไหม้ได้เอง เพราะเขาเหล่านั้นจะช่วยส่งต่อพลังงานเชื้อเพลิง สร้างความกระตือรือร้นให้กับตัวคุณ… และจงหลีกเลี่ยงกลุ่มคนที่เป็นดั่งวัตถุที่ไม่ติดไฟ เพราะเขาเหล่านั้นนอกจากจะนิ่งเฉยจากแรงกระตุ้นรอบกาย ยังจะทำให้คุณนั้นเย็นชาจนหมดไฟตามไปด้วย… ขอขอบคุณข้อมูลจาก… “ช้าให้ชนะ” โดย คาซุโอะ อินาโมริ เรียบเรียงโดย… ดร.หฤษฎ์ อินทะกนก
“เวลามีงานไม่ทำ เวลาทำงานไม่มี” ถ้าคุณกำลังอยู่ในวัยเรียนหรือเริ่มทำงาน… คุณจะทราบดีว่าโลกปัจจุบันนี้มันไม่แฟร์กับเราสักเท่าไหร่… ผมพูดถึงเวลาที่มีอยู่แต่ละวันกับสิ่งที่เราต้องทำ (และถูกดึงดูดให้ทำ)… คนยุคเบบี้บูมเมอร์ Gen-B (49+) อาจจะไม่เข้าใจหรอกครับว่า ปัจจุบันมันยากแค่ไหนที่จะตั้งสมาธิกับการทำงานอะไรสักยาก… เนื่องด้วยสิ่งรบกวน (Distractions) มันมากมายเหลือเกิน… ไม่ว่าจะเป็น… – Notifications จากเฟสบุ๊ค – Messages จากไลน์ – วิดิโอจาก Youtube – หนังใหม่จาก Hollywood – Series ดังจากเกาหลี – และ อื่นๆ นี่ยังไม่รวมกับกิจกรรมต่างๆ ที่เราสามารถทำได้นอกเหนือจากภาระหน้าที่ในเวลาปกติ… ไม่ว่าจะเป็นการเดินห้างสรรพสินค้าที่มีมากมาย… หรือการท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่สะดวกสบายมากกว่าแต่ก่อน… ทำให้ปัจจุบัน การไปร้านอาหารสุดชิค หรือร้านกาแฟสุดชิว… ไม่ได้เป็นการพักผ่อนตามความชื่นชอบส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ “ชีวิตดีดี๊” ตามกระแสสังคม… เพราะเหตุนี้ผมจึงเข้าใจว่าชีวิตวัยรุ่นในยุคโลกาภิวัตน์นั้นไม่ง่ายเลยครับ… ในความเป็นจริง… สิ่งที่คุณอาจจะไม่สังเกต คือ… ในทุกๆวัน เราถูกผลักดันโดยสื่อต่างๆ ให้เสพมากขึ้น… คิดเพื่อตัวเองน้อยลง… ทำเพื่อตัวเองน้อยลง… และอยู่กับตัวเองน้อยลง… โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลย… […]
1. ใช้อุปกรณ์สื่อสารก่อนเข้านอน เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ก เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีผลโดยตรงต่อคุณภาพการนอนของคุณ ซึ่งเป็นผลลบต่อ อารมณ์ ความคิด และพลังงาน ของคุณในการใช้ชีวิตประจำวัน 2. การเล่นอินเตอร์เน็ตโดยไม่มีแก่นสาร โดยเฉพาะเวลางาน นอกจากจะทำให้คุณเสียการงานแล้ว ยังเป็นบ่อเกิดของโรคสมาธิสั้นอีกด้วย 3. เช็คมือถือระหว่างการสนทนา ไม่ว่าจะเป็นในการคุยงาน หรือการพูดคุยทั่วไป ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเช็คมือถือระหว่างบทสนทนา เมื่อคุณเริ่มการสนทนาใดๆ คุณควรให้เกียรติผู้ร่วมสนทนาด้วยการตั้งใจฟังในสิ่งที่เค้าพูด 4. เปิดเสียงการแจ้งเตือนของแอ๊พพลิเคชั่นต่างๆ ทิ้งไว้ตลอดเวลา การมีเสียงเรียกเข้า หรือเสียงเตือน จากมือถือของคุณดังขึ้นทั้งวัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบประสาท ซึ่งทำให้กระบวนความคิดในการทำงานด้อยประสิทธิภาพ 5. มัก “ตอบรับ” เมื่อควร “ปฏิเสธ” หรือเป็นคนที่ไม่กล้าพูดคำว่า “ไม่” นั่นเอง ความเกรงใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ความเกรงใจมากเกินไปจนลืมนึกถึงว่าสิ่งใดดีกับตนไม่ดีกับตน เป็นผลเสียกับการพัฒนาตนเองเป็นอย่างมาก 6. ยอมให้คน หรือสิ่งรอบกาย ทำให้คุณหงุดหงิด การใช้เวลาไปคิดถึงบุคคล หรือเหตุการณ์ ที่มีผลกระทบต่อจิตใจของคุณ จะทำให้คุณเป็นคนขาดความมั่นใจ และไม่กล้าที่จะทำอะไรเพื่อตนเอง 7. ลงมือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน โดยไม่ประเมินตนเอง […]
การจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีล้วนเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันและไม่เพียงแต่ชีวิตประจำวัน การสามารถจดจำได้ดีนั้นยังสามารถช่วยเรื่องความสัมพันธ์ไปจนถึงเรื่องหน้าที่การงานได้อีกด้วย มาอ่านกันว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถเพิ่มให้การจดจำดีขึ้นได้ 1.ฝึกฝนสมอง ยิ่งใช้งานสมองมากเท่าไรยิ่งดี ฝึกฝนการใช้สมองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การจดจำดีขึ้นได้ อย่างการเล่นเกมครอสเวิร์ด หรือเหล่าเกมทดสอบความจำต่างๆที่สามารถโหลดได้ในโทรศัพท์มือถือ ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถนำมาฝึกฝนสมองให้มีความจดจำที่ดีขึ้นได้ 2.หาเวลาทำสมาธิ การทำสมาธิ ไม่ว่าจะนั่งหรือยืนทำสมาธิล้วนเป็นกิจกรรมที่ดีอย่างยิ่งต่อทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสมาธินั้นดีต่อสมองเป็นอย่างมาก การทำสมาธิจะช่วยให้ความเครียดและความเจ็บปวดน้อยลง ช่วยให้ความดันเลือดลดลงได้แล้วยังสามารถช่วยให้ความจำดีขึ้นได้อีกด้วย โดยเฉพาะการทำสมาธินั้นสามารถช่วยให้การจดจำข้อมูลระยะสั้นๆนั้นดีเป็นอย่างมาก 3.ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ยังมีผลสามารถช่วยให้จดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นและยังช่วยลดโอกาสการที่จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคตได้อีกด้วย 4.รับประทานน้ำตาลน้อยลง การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปนั้นล้วนมีแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่นเดียวกันที่มันส่งผลเสียต่อความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ ถ้าอยากจะให้ความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆดีขึ้น ควรบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นปริมาณมากให้น้อยลง แถมการบริโภคน้ำตาลน้อยลงยังสามารถช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วย 5.นอนให้เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นมีผลทำให้ความสามารถในการจดจำลดลงเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้น การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่มา: healthline.com
เขาว่ากันว่า ชีวิต คือ การเชื่อมโยงของอุปสรรค และปัญหาต่างๆ เพื่อให้เราแก้ไข และคนที่สามารถบริหารจัดการได้ดีที่สุด คือ ผู้ชนะ 4 ขั้นตอน ง่ายๆ… เหล่านี้อาจช่วยคุณได้ครับ 1. วิเคราะห์ช่วงเวลาที่คุณมีความสุขมากที่สุด โดย มองหาปัจจัยที่ทำให้คุณมีความสุข ด้วยเหตุ และผล 2. วิเคราะห์ช่วงเวลาที่คุณมีความทุกข์มากที่สุด โดย มองหาปัจจัยที่ทำให้คุณมีความทุกข์ ด้วยเหตุ และผล 3. วิเคราะห์ช่วงเวลาปัจจุบัน ว่าคุณมีความสุข หรือทุกข์ จากสิ่งใด โดย มองหาปัจจัยที่ทำให้คุณมีความสุข หรือทุกข์ ด้วยเหตุ และผล 4. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากสามข้อเบื้องต้น โดย มองหาปัจจัยที่คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุ และผล จากการวิเคราะห์ตนเอง โดยใช้ 4 ขั้นตอน ง่ายๆ… คุณจะค้นพบว่า อุปสรรคนั้นก่อเกิดขึ้นทั้งเวลา ทุกข์ และสุข ล้วนแล้วแต่มาจาก “ความยึดติด” “ความไม่พอใจ” “ความไม่รู้” “ความสับสน” “ความหลงผิด” “ความอิจฉา” “ความริษยา” และ […]
มีใครเคยเล่นผีถ้วยแก้ว หรือ ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า “Ouija Boards” กันบ้างมั้ยครับ ผมเชื่อว่าเกือบจะทุกคนจะต้องเคยเล่นตอนเด็กๆ พอดีเมื่อเช้านึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา “The Intelligent Investor” โดย Benjamin Graham ที่เจ้าพ่อนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยกย่องให้เป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอันดับหนึ่งตลอดกาล มีอยู่ตอนหนึ่งในหนังสือ คุณอาจจะขำกันนะครับ แต่ผู้เขียนได้เปรียบการเล่นผีถ้วยแก้วว่าไม่ต่างอะไรนัก กับ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยตั้งคำถามว่าทำไมคนถึงได้ชื่นชอบในการเล่นผีถ้วยแก้ว คำตอบที่ Benjamin Graham ได้ให้ไว้ คือ “ความเชื่อ” “ความหวัง” และ “ความตื่นเต้นเร้าใจ” แล้วผมก็ถึงเข้าใจ คุณเชื่อหรือไม่ว่า เมื่อมีการสำรวจกลุ่มผู้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยสอบถามถึงความรู้สึกต่อ Portfolios การลงทุนของตนเอง นักลงทุนส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่า Portfolios ของตนนั้นมีประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มที่จะทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง Portfolios จะย่ำแย่เพียงไร เพราะตามสถิติแล้ว มีเพียงกลุ่มคน 4% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้จริง ถึงแม้ว่า 25% จะตอบว่ามีกำไรในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการลงทุนของตน ปรากฏการณ์นี้ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มคนที่มี “เลขเด็ด” […]
1. ความคิดว่า… ความสำเร็จอยู่ที่โชคชะตา สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการ “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” อะไรไม่ได้อย่างใจนึกคิด มักจะโยนความผิดให้สิ่งแวดล้อม ไม่มีใคร หรือ อะไร ทำให้คุณดี หรือ แย่ได้ นอกจากตัวคุณเอง 2. ความคิดว่า… เราถูกเราเก่ง การที่มี Ego หรือ อัตตา (ความถือตนเองเป็นสำคัญ) นั้นไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แต่ถ้ามีมากจนเกินไป อาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาตนเองได้ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และการฟังผู้อื่น จะช่วยให้คุณเรียนรู้มากขึ้น 3. ความคิดว่า… ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ความพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีนั้นมีประโยชน์ แต่ความผิดพลาดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง และทำความเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบในโลกใบนี้ จะช่วยให้การเดินทางสู่ความสำเร็จมีความสุขมากขึ้น 4. ความคิดว่า… ต้องเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น เราควรนำความสำเร็จของผู้อื่นนั้นมาเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ข้อเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบทำให้เรานั้นมองทุกอย่างที่ผลลัพธ์ ซึ่งความมุมานะพยายามซึ่งให้ได้มาในผลลัพธ์นั้น อาจสำคัญกว่า 5. ความรู้สึกว่า… ต้องทำเฉพาะสิ่งที่ตนรักเท่านั้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักพูดว่า “ทำในสิ่งที่ตนรัก” แล้วจะรุ่ง ซึ่งไม่ผิด แต่ในรายละเอียดของงาน เราอาจจะต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบบ้าง จงทำความเข้าใจในสิ่งนี้ 6. ความรู้สึกว่า… ต้องรีบลงมือทำทันที การตั้งมั่นที่จะลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความรวดเร็วนั้นดี แต่การวางแผนนั้นก็มีความสำคัญอย่างมาก […]
ทุกวันนี้ มีคนรุ่นใหม่หลายคนที่มีความใฝ่ฝันต้องการจะเป็นผู้ประกอบการ ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจ มีคนหลายคนที่คิดว่าการทำงานประจำเป็นสิ่งที่ไม่น่าทำ ไปเป็นผู้ประกอบการดีกว่าแล้วจะรวย แต่นั่นเป็นเพียงแค่ด้านสว่างของการเป็นผู้ประกอบการเท่านั้น ความจริงแล้วการเป็นผู้ประกอบการมันมีแรงกดดัน มีอะไรที่มากกว่าภาพความสำเร็จที่ปรากฏอยู่ตามสื่อต่างๆอีกเยอะ ก่อนจะติดกับดักฝันของคนรุ่นใหม่ มาเปิดโปงมายาคติของการเป็นผู้ประกอบการ เป็นผู้ประกอบการแล้วจะร่ำรวยและสำเร็จ ก่อนที่จะฝันถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้านดีที่สุดที่เส้นทาง ผู้ประกอบการมันจะพาคุณไปได้ คุณต้องย้อนกลับมานั่งคิดถึง จุดตกต่ำที่สุด ความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่ของเส้นทางผู้ประกอบการด้วย การเป็นผู้ประกอบการสามารถทำให้คุณร่ำรวยได้จริง แต่ว่าการเป็นผู้ประกอบการ เป็นเจ้าของธุรกิจนั้น ก็ต้องแบกรับความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่ และภาระทางการเงินอันหนักหน่วงยิ่งกว่า การทำงานประจำทั่วไปเสียอีก การเป็นผู้ประกอบการ คุณต้องรับผิดชอบชีวิตของพนักงานในบริษัทของคุณ ถ้าหากคุณเลิกทำ พวกเขาจะไปไหน บางครั้ง การเป็นผู้ประกอบการอาจจะเป็นฝันร้ายได้ เพราะเมื่อคุณหยุดทำสิ่งที่คุณทำ ชีวิตผู้คนจำนวนหนึ่งอาจจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักกว่าที่คุณคาดคิดไว้ มายาคติในทุกวันนี้ของคนรุ่นใหม่ก็คือ คิดว่า การเป็นผู้ประกอบการแล้วจะรวย ทำงานให้คนอื่นแล้วจะไม่รวย การเป็นผู้ประกอบการสามารถร่ำรวยได้ แต่ใช่ว่า ทุกธุรกิจจะสามารถอยู่รอดไปจนถึงขั้นที่ร่ำรวยได้ การเป็นผู้ประกอบการมีความเสี่ยงสูง การจะไปถึงจุดที่สร้างความมั่นคงได้ ต้องเสียสละหลายสิ่ง และกว่าจะร่ำรวยได้ก็ยิ่งต้องเสียสละมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าคุณคิดว่าคุณพร้อมที่จะเสียสละเวลาจำนวนมาก, ความสบายใจ, ความมั่นคงบางส่วน และ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้งานคุณสำเร็จ การเป็นผู้ประกอบการก็อาจจะเหมาะกับคุณ อาชีพอื่นก็สามารถทำแล้วร่ำรวยได้เช่นกัน ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้ประกอบการเท่านั้นถึงจะรวย อาชีพอื่นก็ร่ำรวยได้ ถ้าคุณสามารถหาเส้นทางที่จะนำพาคุณให้ไปได้ไกลในสายงานนั้นๆ ทุกงาน ทุกเส้นทางมันมีทั้งด้านที่สวยงามและด้านที่ไม่สวยงาม […]
การเป็นผู้ประกอบการหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวคุณเองนั้น มีความรับผิดชอบมากมายที่ต้องแบกรับและบางครั้งนิสัยส่วนตัวอาจจะสามารถกลายมาเป็นอุปสรรคต่อตัวคุณเองได้ เพราะฉะนั้นมาอ่านกันว่า 5 ลักณะนิสัยใดบ้างที่คุณควรจะมีแล้วมันจะสามารถช่วยคุณได้เป็นอย่างมาก 1.มีความหลงไหล่ในสิ่งที่ทำ ลักษณะนิสียเด่นที่ผู้ประกอบการต้องมีก็คือ พวกเขาต้องมีนิสัยที่หลงไหล่และรักในสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ว่าธุรกิจใดก็ตามหากพวกเขาไม่รักในสิ่งที่เขาทำ ไม่เชื่อมั่นและไม่ทุ่มเทเพื่อมันแล้วล่ะก็ ท้ายที่สุดแล้วมันก็อาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ อีกอย่างหนึ่งที่นิสัยนี้จะช่วยคุณได้นั้นก็คือ เมื่อใดก็ตามคุณรักและหลงไหล่ในสิ่งที่คุณทำไม่ว่างานจะหนักเพียงเท่าใดคุณก็จะยอมเหนื่อยเพื่อมันได้และไม่รู้สึกเสียดายภายหลัง แม้บางครั้งกำไรมันอาจจะไม่มากอย่างที่คุณหวังแต่คุณก็จะมีความสุขมากกว่า ทำสิ่งที่ให้กำไรมากแต่คุณไม่ได้รักมันเลยแม้แต่นิดเดียว 2.มีแรงบันดาลใจอยู่เสมอ หากคุณเป็นผู้ประกอบการกิจการของคุณเองแล้วล่ะก็ ก็มีแต่ตัวคุณเองที่จะสร้างพลังงานและสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวคุณได้ ถ้าหากคุณหมดไฟไม่มีแรงบันดาลใจแล้วล่ะก็ อีกไม่นานคุณจะหาไอเดียใหม่ๆไม่ได้ ไม่มีเป้าหมายในสิ่งที่ทำและรู้สึกเบื่อหน่ายกับธุรกิจของคุณ เพราะฉะนั้น คุณควรจะมีแรงบันดาลใจอยู่เสมอและถ่ายทอดพลังงานเหล่านั้นไปให้คนที่ร่วมงานกับคุณหรือลูกค้าของคุณเองด้วย 3.มองโลกในแง่บวก ถ้าหากคุณมองโลกในแง่ลบตั้งแต่เริ่มต้นตั้งธุรกิจ ธุรกิจเหล่านั้นก็จะล้มเหลวตั้งแต่แรกแล้ว การมองโลกในแง่ลบก็จะนำพาตัวคุณไปเจอแต่สิ่งลบๆและการเริ่มต้นครั้งแรกด้วยความกลัวว่าคงทำไม่สำเร็จหรือคงทำไม่ได้หรอก เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากตัวคุณเองและมีคุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกำจัดอุปสรรคนี้และสร้างธุรกิจที่คุณหวังได้ด้วยการมองโลกในแง่บวก มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน เพราะการสร้างธุรกิจ การเป็นผู้ประกอบการไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลยและการมองโลกในแง่ลบไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังนั้นมองโลกในแง่บวกมากขึ้น ตั้งเป้าหมายและวางแผนเพื่อหาทางทำเป้าหมายนั้นให้เป็นจริงจงได้ 4.มีความคิดสร้างสรรค์ ความแตกต่างและความแปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญในหลายเรื่องๆและการเป็นผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญที่คุณต้องมีนอกจากทุน นั้นก็คือความคิดสร้างสรรค์นั้นเอง หากคุณไม่มีไอเดียดีๆที่สดใหม่มากพอ การจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังก็เป็นสิ่งที่ยาก เพราะไม่ว่าคุณจะทำอะไรแน่นอนว่าในโลกนี้ย่อมจะมีคนทำก่อนหน้าคุณไปหมดแล้ว ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบ คือสิ่งที่จะช่วยธุรกิจคุณได้มาก ฝึกฝนให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นรับรองว่ามันจะช่วยคุณไปได้ตลอดชีวิต 5.กล้าเสี่ยง ไม่มีธุรกิจใดที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่เคยพบกับ ความเสี่ยง และการกล้าเสี่ยงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งถ้าคุณอยากจะเป็นผู้ประกอบการที่สามารถนำพาธุรกิจคุณไปสู่เป้าหมายอย่างที่หวังได้ ถ้าหากคุณมัวแต่กลัวความเสี่ยง สิ่งที่คุณทำก็จะไม่เดินหน้าไปที่ไหนเลย […]
บทความนี้ไม่ใช่บทความขายความฝัน แต่เป็นบทความที่จะบอกเล่าเรื่องราวของทัศนคติและความคิดจากบุคคลสุดยอดประสบความสำเร็จ 6 คน ที่จากเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยว่าพวกเขาทำอย่างไรกันถึงสามารถแสวงหาความสำเร็จได้ และแนวคิดของพวกเขาเหล่านี้ก็สามารถนำไปใช้ได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเรียนจบหรือเรียนไม่จบ คุณก็มีโอกาสที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน 1.Bill Gates บิล เกตส์ มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 91.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จในการก่อตั้ง Microsoft เขาเคยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย Harvard ในปีค.ศ.1973 ก่อนจะดรอปออกจากมหาวิทยาลัยใน 2 ปีให้หลัง เพื่อที่จะมาทำบริษัท Microsoft และการตัดสินใจครั้งนั้นของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั้นทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ 2.Steve Job สตีฟ จ็อบบ ในวันที่มีชีวิตอยู่เขามีรายได้สุทธิอยู่ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวัย 19 ปี เขาได้ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยโดยให้เหตุผลว่า มันเป็นภาระทางการเงินที่มากเกินไป ในช่วงที่เขาลาออกมา เขาก็ได้เริ่มมีความคิดที่จะสร้าง Mac ซึ่งต่อมาจากการเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่และท้ายที่สุดก็ได้เป็น CEO ของบริษัทตนเองอย่าง Apple 3.Ralph Lauren ราฟ ลอเร้น แฟชั่นดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า POLO Ralph Lauren ชื่อก้องโลก […]