ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจกับความหมายของ Comfort Zone ว่ามันคืออะไรก่อนที่จะพบว่าคุณจำเป็นต้องออกจากมันแล้ว Comfort Zone ก็คือ สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นคงมีความกังวลน้อยและรู้สึกสบายใจ อย่างเช่นการเดินทางเส้นทางเดิมเป็นประจำ, การทำอาหารเมนูเดิมๆ และ การท่องเที่ยวแต่สถานที่เดิมๆ เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งการอยู่ใน Comfort Zone ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อใดที่คุณมีความรู้สึกเหล่านี้ มันคือ 3 สัญญาณเตือนให้คุณต้องก้าวเท้าออกจากความสบายใจของตัวเอง ต้องก้าวออกจาก Comfort Zone ของคุณแล้ว 1.รู้สึกไม่มีความสุขและไม่รู้ว่าทำไม ถ้าหากคุณเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่มีความสุขทั้งที่คุณก็ทำทุกๆอย่างเหมือนเดิมและไม่รู้ว่าอะไรกันคือสาเหตุของความทุกข์ของคุณแล้วล่ะก็ นั้นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณต้องลองออกจาก Comfort Zone และออกไปหาทำอะไรใหม่ๆ ดูเสียบ้าง หลังจากนั้นคุณจะพบว่าสาเหตุใดที่ทำให้คุณไม่มีความสุขและคุณก็จะสามารถพบความสุขได้ 2.รู้สึกเฉื่อยช้าและท้อแท้ หากคุณมีความรู้สึกเฉื่อยช้าและท้อแท้ นั้นคือสัญญาณที่คุณควรจะหาทางออกจาก Comfort Zone เป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะหากคุณรู้สึกว่า คุณอยู่กับที่ไม่ได้เดินหน้าไปไหนหรือยังไม่มีอะไรที่พัฒนาเลย การที่จมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้นานๆ ไปจะมีแต่ทำให้คุณหมดพลังงานแถมเหนื่อยล้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือมันจะทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นอย่างมาก การลองออกจาก Comfort Zone ไปหาอะไรใหม่ๆทำจะช่วยเยียวยาคุณได้เป็นอย่างมาก 3.คุณผัดวันประกันพรุ่งบ่อยๆ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบรอคอยให้ทุกอย่างพร้อมและผัดวันประกันพรุ่งบ่อยๆ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะลงตัว พร้อมกับหาข้ออ้างอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ข้ออ้าง ไม่พร้อมที่จะทำอะไรเสียที โดยเฉพาะหากมีความคิดที่ชอบคิดว่า ไว้สักวันหนึ่งแล้วฉันจะทำสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ นั้นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณต้องลองออกจาก […]
ทักษะหนึ่งสุดสำคัญที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้เป็นอย่างมาก นั้นก็คือ ทักษะการพูดสาธารณะ แม้การพูดในที่สาธารณะอาจจะเป็นสิ่งที่ฟังดูน่ากลัวสำหรับบางคน แต่ทักษะนี้เป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อชีวิตอย่างมากที่คุณสามารถนำมันไปปรับใช้ช่วยให้งานของคุณดีขึ้นได้ มาอ่านกันว่า อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ก่อนนำเสนองาน และ พูดในที่สาธารณะ ฝึกซ้อมและเตรียมพร้อม การเตรียมพร้อมจะช่วยให้คุณสามารถเรียบเรียงสิ่งที่คุณจะพูดได้ดีขึ้น และฝึกซ้อมสิ่งที่คุณจะพูด เรียบเรียงมันให้ดีจะช่วยให้คุณมีความตื่นเต้นน้อยลง เมื่อคุณเตรียมตัวมาพร้อม ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีมันจะช่วยให้คุณสามารถพูดสาธารณะ หรือนำเสนองานได้ดียิ่งขึ้น คิดบวกเข้าไว้ การคิดบวกเข้าไว้ เวลาต้องออกมาพูดสาธารณะ จะช่วยให้คุณหายกังวลต่อสิ่งอื่นๆ ได้ ถ้าหากมีข้อผิดพลาดก็อย่าวิตกกังวลกับมันมากจนเกินไป เพราะมันจะทำให้คุณเครียดและหวาดกลัวที่จะพูดในสิ่งที่คุณต้องการจะพูด และการคิดลบ หวาดระแวงผู้ฟังมากจนเกินไปก็จะทำให้คุณพูดในสิ่งที่คุณต้องการจะพูดออกมาได้ไม่ดีพอ ดังนั้น มีทัศนคติที่ดีเข้าไว้ อย่าคิดลบ และคิดบวกเข้าไว้เสมอ หากต้องพูดในที่สาธารณะ ทำสมาธิ สงบสติ ถ้าหากมีระยะเวลาสั้นๆในการเตรียมตัว การสงบสติอารมณ์ ทำสมาธิสักหน่อยเป็นสิ่งที่จะช่วยคลายความกังวลของคุณได้และมันยังจะช่วยให้คุณมีสมาธิมากพอที่จะสามารถ พูดในที่สาธารณะ และ นำเสนองานของคุณให้ออกมาได้เป็นอย่างดี กุญแจสำคัญก็คือการเตรียมตัวให้พร้อมและฝึกซ้อม เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมสิ่งที่ต้องการจะพูดได้เป็นอย่างดี ลดความกังวล และลดการเกิดความผิดพลาดเมื่อออกไปพูดในที่สาธารณะหรือนำเสนองาน
“Srifa Group” หรือที่รู้จักในชื่อ “Srifa Bakery ต้นตำรับเค้กฝอยทอง” ขนมชื่อดังเเห่งเมืองกาญจนบุรี ที่ก่อตั้งโดยคุณวิเชียร เจนตระกูลโรจน์ ผู้บุกเบิกคิดค้นสูตรการทำเค้กฝอยทองเเสนอร่อย ที่เริ่มต้นธุรกิจจากร้านเล็กๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี เเละค่อยๆ ขยายตลาด จนสามารถสร้างโรงงานขนาดใหญ่ได้ คุณพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ผู้อำนวยการส่วนงานขายและการตลาด เเละเป็นทายาทผู้สืบทอดกิจการ Srifa Bakery ได้เข้ามาช่วยพัฒนา คุณภาพสินค้า หน้าตา และราคา จนผ่านการพิจารณาจากเซเว่นอีเลฟเว่น ในปี 2552 เริ่มจากเค้กฝอยทอง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เเละปัจจุบันได้พัฒนาสูตรทองม้วน ตรา สุธีรา ที่เป็นสูตรเฉพาะของ Srifa Bakery ด้วยความที่ขนมทองม้วนตรา “Suthera” ผลิตจากวัตถุดิบชั้นดี เช่น กะทิสดจากสวน ไข่ น้ำตาลมะพร้าว และงา เเละมีการผลิตหลากหลายรสชาติให้เลือก ทุกรสใช้วัตถุดิบแท้จากธรรมชาติผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาดได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP/HACCP จนทำให้ปัจจุบันทองม้วนตราสุธีรา ส่งออกไปจำหน่ายเเล้วในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อเมริกา และสิงค์โปร เป็นต้น กว่าจะธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ที่มีจุดเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ จนตอนนี้ธุรกิจมีมูลค่ากว่า 200 ล้าน ธุรกิจนี้เขามีเเนวความคิด มุมมองการบริหารจัดการอย่างไร เรามาฟังไปพร้อมๆ […]
เคยรู้สึกตื่นมาแล้วไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงมั้ยครับ… ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากทำอะไร อาการชีวิตติดลบ พบเจอแต่อุปสรรค เบื่อหน่ายไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอมาบ้าง ซึ่งถ้านานๆ เกิดขึ้นที คงไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยไป คงไม่ดีแน่ จากบทความโดย Peter Voogd การถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้ประสบความสำเร็จจากหลายแขนง ปัญหานี้มีวิธีแก้ครับ ด้วย 3 คำถาม ดังต่อไปนี้ หนึ่ง… คุณ “Challenge Yourself” หรือ ท้าทาย ตนเองบ่อยแค่ไหน สังเกตได้ไม่ยากจากสิ่งที่คุณทำในทุกวัน ว่า สิ่งนั้น ซ้ำๆ เดิมๆ หรือไม่… ถ้าใช่ คุณกำลังอยู่ใน “พื้นที่สบาย” หรือ Comfort Zone ซึ่งเป็นต้นต่อหลักแห่งความเบื่อหน่ายในชีวิต การทดสอบขอบเขตของตัวเองอยู่เป็นประจำ จะช่วยสร้างความกระตือรือร้น แรงบันดาลใจ และเป้าหมายใหม่ๆ ให้คุณก้าวเดินต่อไป สอง… คุณ “Dwell on Past Mistakes” หรือ เฝ้าคิดถึงข้อผิดพลาดในอดีตมากเพียงใด คนส่วนใหญ่มักจะตกอยู่ในวังวนแห่งความผิดพลาด จนไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ถนนแห่งความสำเร็จได้ แทนที่จะมานั่งคิดมาก […]
ไม่ว่าใครก็อยากได้เคล็ดลับนี้ไปอย่างแน่นอน วิธีการที่จะทำให้คุณโฟกัสในสิ่งที่คุณทำและทำงานให้ได้มากขึ้น มีเพียง 3 เคล็ดลับง่ายๆ ที่คุณมักมองข้ามเหล่านี้ 1.ใช้เวลาพัก ไม่ทำงานเพื่อเติมพลัง การไม่ทำอะไรเลยสักพัก ใช้เวลาพัก คือสิ่งที่จะทำให้คุณโฟกัสและทำงานได้มากขึ้น ใช้เวลาทำงานอย่างชาญฉลาด อย่าใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับการทำงาน มิเช่นนั้นอีกไม่นานคุณจะต้องประสบกับสภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน ประสบกับภาวะ Burnout จนไม่สามารถโฟกัสและทำงานได้ หาเวลาพัก หาเวลาว่างเพื่อเติมพลังงานของตนเองเสียบ้าง อย่าทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ช่วงเวลาพักเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนั้นคือเชื้อเพลิงที่ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างดี 2.เขียนเป้าหมาย เลือกสิ่งที่จะทำ ถ้าคุณตั้งใจจะโฟกัสกับสิ่งใด ให้เขียนสิ่งที่คุณต้องการจะทำออกมา เขียนเป้าหมายออกมาให้เห็นชัดเจน คัดกรองเลือกสิ่งที่ต้องการจะทำ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าต้องทำสิ่งใดก่อน สิ่งใดหลัง มันจะช่วยให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่คุณทำได้ดีขึ้นเป็นอย่างแน่นอน และในช่วงที่มีงานกองโต วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถทำงานเรียงตามลำดับความสำคัญได้สำเร็จอย่างที่หวัง โดยไม่สูญเสียโฟกัสอย่างแน่นอน 3.มีสมาธิ และ ใจเย็นเข้าไว้ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จงมีสมาธิไว้ให้ดี เพราะถ้าคุณยังมีอารมณ์ที่ไม่คงที่ หรือยังกังวลใจกับสิ่งใดมากๆอยู่ คุณควรใจเย็นลงก่อน ทำสมาธิ มิเช่นนั้น คุณก็จะทำอะไรได้ไม่เสร็จเลย ถ้าคุณไม่มีสมาธิที่มากพอ 4.ฟังเพลง บางครั้ง ความเหงาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณมีสมาธิ ลองเปลี่ยนวิธีทำสมาธิมาเป็นการฟังเพลงโปรดในระหว่างทำงานดูสิ รับรองว่ามันจะทำให้คุณโฟกัสไปกับสิ่งที่คุณทำและทำให้คุณไม่เครียดมากจนเกินไปได้อีกด้วย
สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญและตัวคุณเองก็สำคัญเช่นกัน แม้ว่าจะยุ่งขนาดไหน สิ่งที่คุณควรใส่ใจให้มากๆนั้นก็คือตัวคุณเอง เพราะ ก่อนจะไปช่วยเหลือผู้อื่นก็จงรู้จักที่จะดูแลตนเองให้ได้ก่อน ไม่ว่าคุณจะยุ่งกับความสัมพันธ์ต่างๆในชีวิต ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง หรือ ยุ่งอยู่กับงานกองโต งานชิ้นสำคัญ คุณก็ควรจะหาเวลาเพื่อทำ 7 สิ่งง่ายๆ นี้เพื่อดูแลตนเองเสมอ แม้ว่าคุณจะยุ่งสุดๆก็ตาม 1. นอนให้เพียงพอ นอนให้มาก การนอนพักผ่อน เป็นสิ่งที่ช่วยซ่อมแซม เยียวยาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะพบเจออะไรมาหนักหนาแค่ไหน การนอนให้เพียงพอเป็นสิ่งที่จะเยียวยาคุณได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน อย่าลืมนอนพักผ่อนให้เพียงพอ คุณคงจะไม่มีพลังไปทำอะไรได้เลยถ้านอนพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมการนอนน้อยติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆมีแต่จะส่งผลเสียทำลายทั้งตัวคุณเอง ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเพราะความเหนื่อยล้าและทำให้งานของคุณนั้นออกมาได้ไม่ดี 2.รับประทานอาหารให้อิ่ม แต่ลดอาหารขยะ แน่นอนว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าต้องการจะมีพลังงานไปทำสิ่งต่างๆ ยิ่งคุณยุ่งมากเท่าไร การรับประทานอาหารให้อิ่มนี่แหละจะช่วยคุณได้ดีเป็นอย่างมาก ถ้าหากคุณไม่รับประทานอาหารอะไรเลย มันจะส่งผลเสียมากมายตามมา แต่ถึงกระนั้น ควรลดละการรับประทานอาหารขยะ อาหารประเภทสำเร็จรูปติดต่อกันเป็นพักๆ ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม อย่าใช้ชีวิต หาอาหารจากพวกอาหารขยะและอาหารสำเร็จรูป การรับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่ อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ดื่มน้ำให้เยอะๆ คือการดูแลตนเองง่ายๆ ที่คุณควรทำไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม 3.อย่าใช้มือถือบ่อย อย่าติดมือถือ การเล่นมือถือบ่อยๆ เลื่อนหน้า Feed […]
ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นปัญหาชีวิตของเพื่อนหลายคน… ผมก็เลยเฝ้าถามว่าที่จริงแล้วปัญหามันมาจากสิ่งใด… พยายามหาหนังสืออ่านอยู่หลายเล่ม จนได้ข้อสรุปดังนี้ครับ… 1. ความยึดติด เราจะสังเกตได้ว่าคนส่วนมากจะยึดติดกับอดีต ทั้งดีและร้าย ทำให้ส่งผลถึงปัจจุบัน… เราต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าดีหรือร้าย มันเป็นเพียงประสบการณ์ที่จะผ่านไป การยึดติดกับอดีต มักเป็นปัญหาหลักของการก้าวเดินไปข้างหน้า 2. ความหลงผิด-ไม่รู้ บ่อเกิดของความหลงผิดหรือความไม่รู้ คือ มุมมองที่ขาดเหตุผล เกี่ยวเนื่องมาจากความขาดสติในการตัดสินใจ และการดำรงชีวิตด้วยอารมณ์จนมากเกินไป… ตัวอย่างสำคัญของอารมณ์เหล่านี้ คือ การมีอคติหรือทิฐิ กับสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตนั่นเอง 3. ความอิจฉา-ริษยา บุคคลที่มีความอิจฉาหรือความริษยานั้น มีพื้นฐานมาจากบุคคลซึ่งไร้ความมั่นใจ หมายถึงบุคคลที่อยากได้ในสิ่งที่ผู้อื่นมี เพราะมองว่าตนเองไม่ดีพอ… ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถเรียนรู้ และพัฒนาจากความสำเร็จของผู้อื่นได้ ทำให้ตนเองจมอยู่ในความไม่พอ ข้อสำรวจเหล่านี้ทำให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว… ชีวิตของคนเราจะดีหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถหรือใบปริญญาแต่อย่างใด เพียงแต่ขึ้นอยู่กับ “ทัศนคติหรืออุดมคติ” ของแต่ละบุคคล ฉะนั้น ลองมองตนเองในกระจก แล้วตั้งคำถามว่าคุณชีวิตติดลบหรือไม่ เพระอะไร ผมหวังว่าทุกคนจะหาคำตอบนั้นได้ครับ เรียบเรียงโดย : Dr. Sun
รู้หรือไม่ว่า การเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่จะทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ มาอ่านกันว่ามันช่วยอะไรได้บ้างกันเถอะ 1.ช่วยลดความวิตกกังวลได้ การเลี้ยงสุนัขสามารถช่วยให้ความวิตกกังวลลดลงได้และมันยังสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เลี้ยงได้อีกด้วย โดยเฉพาะยิ่งกิจกรรมการพาสุนัขไปเดินเล่น ที่จะช่วยให้ความผ่อนคลายแก่ผู้เลี้ยงได้ แถมการเลี้ยงสุนัขมันจะทำให้คุณไม่สามารถนอนซึมอยู่บนเตียงได้อีกต่อไป เพราะคุณจะต้องลุกมาหาอาหารให้มันกิน พามันไปเดินเล่น และการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ปล่อยให้ว่างมากจนเกินไปสามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ 2.แก้เหงาได้ ความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นตัวการที่สามารถนำไปสู่ สภาวะซึมเศร้าได้ หรืออาจจะแย่กว่านั้น การได้แคร์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ได้ดูแลมันจะทำให้คุณรู้สึกเป็นที่ต้องการและมันจะช่วยดึงโฟกัสของคุณจากปัญหาต่างๆ ความเลวร้ายที่พบเจอในชีวิตมาสู่การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงได้ หรือคุณอาจจะคุยกับสัตว์เลี้ยงของคุณในยามเหงาก็ได้ สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนยามยากที่ช่วยแก้เหงาได้มาหลายต่อหลายคนแล้ว ถ้าเหงาๆไม่รู้จะทำอะไรการเลี้ยงสัตว์จะช่วยคุณได้ 3.ช่วยให้ออกกำลังกายมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเลี้ยงสุนัขหรือเลี้ยงแมว คุณก็ต้องพามันไปทำกิจวัตรประจำวัน หาอาหารมาให้มา เล่นกับมัน พาสุนัขไปเดินเล่น หรือ เล่นกับแมวภายในบ้าน กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้คุณได้ออกกำลังกายมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 4.ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ถ้าหากคุณเป็นคนที่อารมณ์เหวี่ยงง่าย หงุดงิดง่าย เบื่อ และเศร้าบ่อย การเลี้ยงสัตว์จะช่วยให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นได้ มันจะช่วยปรับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้น การเลี้ยงสัตว์ช่วยให้คุณได้ผ่อนคลาย ช่วยให้คุณได้สนุก และมีความสุขมากขึ้นได้
ในทุกวันนี้ทุก ๆ อย่างมีการแข่งขันกันมากขึ้น การหาผู้สมัครที่ดีที่สุดคือความยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม แต่ด้วยความคิดที่ถูกต้องคุณยังคงสามารถสร้างทีมในฝันของคุณได้ ด้วยธุรกิจจำนวนมากที่ต้องการแรงงานมากขึ้นผู้สมัครงานมีอิสระในการเลือกและเลือกจนกว่าจะหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีที่สุด และสามารถเลือกที่สำหรับพวกเขา และในขณะที่การแข่งขันระหว่างธุรกิจเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้สมัครงานสามารถสมัครงานได้ตามความต้องการ เช่นเดียวกับตลาดงานต่าง ๆ กุญแจสู่ความสำเร็จยังคงเป็นการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง แต่คุณจะทำอย่างไรเมื่อการแข่งขันรุนแรงมาก เรามีขั้นตอนในการเลือกพนักงานที่จะช่วยให้คุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง 1. แนวคิดรับสมัครงานกับพนักงานทั่วโลก คุณจะเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกมีพนักงานหลากหลายชนชาติมากๆ เพราะเขาไม่ได้ปิดกั้นชนชาติ แต่เขาวัดที่ความสามารถดังนั้นเราจึงจะเห็นว่าพนักงานไม่ได้มีแค่คนในประเทศเท่านั้น รวมถึงคนไทยที่ไปทำงานที่ต่างประเทศ และการสรรหาบุคลากรระดับนานาชาติไม่ได้มีดีเพียงแค่มีผู้สมัครที่มีจำนวนมากขึ้น ยังสามารถช่วยในการเพิ่มความหลากหลายในองค์กรของคุณสามารถที่จะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้โดยที่บริษัทหรือธุรกิจทั้งหมดของคุณจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น 2. เพิ่มความสามารถ และสวัสดิการ มากกว่าการจ่ายเงิน มีนายจ้างจำนวนมากที่คิดว่าเงินเดือนที่สูงขึ้นจะช่วยให้พวกเขาชนะผู้สมัครงานมากขึ้น และพวกเขาคิดไม่ผิดอย่างแน่นอน เพราะ 68% ของผู้สมัครยังคงเห็นการชดเชยเป็นข้อพิจารณาที่ดีที่สุดในการเลือกงาน เพราะการมุ่งเน้นไปที่การจ่ายเงินเพียงอันเดียวอาจหมายความว่าคุณจะต้องเพิ่มราคาให้กับลูกค้าซึ่งเป็นทางออกหนึ่งที่สร้างปัญหา แต่สิ่งที่คุณสามารถทำให้ได้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูง ๆ ก็ได้เช่นกัน คือ มีการอบรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับพนักงานได้พัฒนาความสมารถ รวมไปถึงสวัสดิการต่าง ๆ เช่น การประกันสุขภาพที่มีคุณภาพ ตรวจสุขภาพประจำปี ทุนในการศึกษาของบุตร บัตรส่วนลด การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานวันเกิดพนักงาน วันครบรอบบริษัท วันพิเศษอื่น ๆ […]
ความแตกต่างระหว่าง YouTube และ Vimeo มีอะไรบ้าง YouTube Vimeo 1. กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากที่ไม่ได้ให้ความคิดเห็นและคำติชมที่สร้างสรรค์ 1. กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากของผู้ใช้ที่ให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ 2. สิ่งที่ดีคือใช้งานได้ฟรีในเข้าร่วมและขายโฆษณา $ 10 / เดือน 2. มีทั้งแบบฟรี หรือชำระเงิน : บวก, PRO, ธุรกิจ – แต่ละคนมีข้อ จำกัด ในการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน 3. ไม่สามารถแทนที่วิดีโอด้วยเวอร์ชันใหม่และคงไว้ซึ่งการวิเคราะห์ แต่คุณสามารถตัดต่อได้ 3. คุณสามารถแทนที่วิดีโอได้โดยไม่สูญเสียสถิติเดิมจากวิดีโอในตัวก่อนหน้า 4. โฆษณาทุกที่! 4. ไม่มีโฆษณา 5. สามารถตั้งเวลาปล่อยวีดีโอ ทำตัวเลือกที่ไม่เป็นสาธารณะ และส่วนตัวได้ 5. ตัวเลือกที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านรวมทั้งอื่น ๆ อีกมากมาย 6. ไม่มีทีมคอยดูแลเมื่อมีปัญหาในการใช้งาน 6. มีทีมคอยดูแลเมื่อมีปัญหาในการใช้งาน สรุปง่าย YouTube และ Vimeo ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เพราะในส่วนของ YouTube นั้นอาจจะเน้นไปทางการศึกษา และความบันเทิงมากกว่า ในฝั่งของ Vimeo […]