เพราะความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือรอให้ทุกอย่างลงตัวแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ มันเกี่ยวกับการมุ่งมั่นความมุ่งมั่นการมองโลกในแง่ดีและการทำงานหนัก การเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของคุณอาจเป็นเรื่องยาก
ในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมายแต่นั่นก็ยังไม่ดีพอจนคุณต้องมองหาว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที บางครั้งอาจจะเป็นเพราะลักษณะนิสัยบางอย่างที่คุณทำอยู่ประจำแต่อาจจะไม่รู้ตัว และนี่คือ 6 พฤติกรรมที่คุณควรหยุดทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น 1.คุณชอบความสมบูรณ์แบบมากเกินไป หนึ่งในสิ่งที่ควรระวังนั่นคือถ้าหากคุณชอบและหลงใหลในความเพอร์เฟ็คความสมบูรณ์แบบจนมากเกินไปนั่นจะเป็นกำแพงให้กับคุณจนคุณไม่กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ แถมความเครียดและความกังวลนั้นจะทำให้ยากที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในขณะที่คุณทำงานอยู่ ลองปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายและยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาดบ้างก็ได้ 2.คุณถูกสิ่งรอบข้างดึงดูดความสนใจมากไป การไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอยู่หรือการถูกขัดจังหวะได้ง่ายทั้งด้านความรู้สึกและความคิดจะทำให้คุณไม่สามารถเต็มที่ในสิ่งที่คุณสนใจหรือวางแผนจะทำงานและอาจทำให้คุณเสียเวลากับมันมากกว่าเดิม ลองปิดโทรศัพท์มือถือ เลิกใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อรับส่งข้อความสักพักแล้วจดจ่ออยู่กับงานที่คุณทำอยู่ 3.คุณเลื่อนปลุกอยู่เป็นประจำ มีหลายงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าการงีบหลับเพิ่มหลังจากนาฬิกาปลุกครั้งแรกของคุณดังขึ้นนั้นไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกเหนื่อยน้อยลง เพราะถ้าหากคุณต้องการหลับอีกสักพักเพื่อต้องการพลังงานเพิ่มคุณจำเป็นต้องนอนหลับลึกเท่านั้นจึงจะสามารถเยียวยาร่างกายคุณได้ แทนที่คุณจะใช้เวลาที่เลื่อนปลุกไปเพื่อนอนหลับเพิ่มเพียง 15 นาทีลองหันมาตื่นตรงเวลาและใช้เวลาส่วนนั้นในการทำอย่างอื่น เช่นลุกมาดื่มน้ำแต่เช้า เดินชมสวนหน้าบ้าน จะช่วยให้เป็นเช้าที่ดีต่อสุขภาพคุณมากขึ้น 4.คุณจัดอันดับงานที่สำคัญไว้ท้าย ๆ เพราะคนส่วนใหญ่สมองจะแล่นพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นจะเป็นในช่วงเช้าและช่วงสายในแต่ละวัน และในช่วงบ่ายและเย็นสมองจะเริ่มอ่อนล้าซึ่งทำให้คุณไม่มีพลังงานมากเพียงพอสำหรับงานใหญ่งานยากในวันนั้น ดังนั้นคุณควรจะเลือกจัดระเบียบโดยวางแผนทำงานยากก่อนในช่วงเช้านั่นจะทำให้คุณรู้สึกโล่งได้มากขึ้น 5.คุณทำงานหลายอย่างไปพร้อมกัน การทำงานแบบ multitasking นั้นไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้งานของคุณออกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในความเป็นจริงจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ multitasking หรือการทำงานแบบไม่โฟกัสนั้นทำให้ระบบความจำของคุณแย่ลงอีกด้วย การทำงานหลายอย่างพร้อมกันโดยไม่โฟกัสจะทำให้คุณมีโอกาสพลาดรายละเอียดสำคัญไปและลดโอกาสเรียนรู้ของคุณด้วย แถมยังนำไปสู่การทำงานผิดพลาดด้วยอีกต่างหาก 6.คุณนั่งนานเกินไป หากคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำอยู่ตลอดทั้งวันคุณอาจจะไม่รู้ว่าร่างกายของคุณก็สามารถรู้สึกเครียดได้ เพราะในท่านั่งกระดูกสันหลังคุณจะยืดหยุ่นน้อยลง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อของคุณมีความตึงเครียดทั้งส่วนบ่า ไหล่ คอ จนอกจากนี้มันยังมีผลในการลดการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและปอดของคุณอีกด้วย ลองหยุดพักในทุกๆ 20 ถึง 30 นาทีเพื่อเหยียดกล้ามเนื้อหลังและไหล่ขณะทำงาน หรือคุณอาจใช้การออกกำลังกายและโยคะด้วยท่าเบา […]
จากการแข่งขันในทุกวันนี้ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้นที่แข่งกันหางาน แต่ทางบริษัทเองก็มีการแข่งขันในการดึงพนักงานที่มีศักยภาพไว้กับบริษัทให้มากที่สุด หลังจากถามผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) มาเรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างการเดินทางบนเส้นทางที่มุ่งเสาะหาความสำเร็จนั้นอาจจะยาวนานหรือสั้นกว่าที่คุณคิดมักจะอยู่ที่แนวความคิดของตัวคุณเอง คุณอาจจะสงสัยว่าเมื่อไหร่กันนะที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อไหร่กันนะวันนั้นจะมาถึง
เพราะโลกของเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจและธุรกิจแต่ละด้านก็ต้องปรับตัวตามกาลเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการที่ผกพันของลูกค้า ดังนั้นผู้นำทุกท่านควรมีทักษะและลักษณะที่เข้ากับยุคสมัยอีกด้วย จะเป็นอะไรบ้างไปชมกันเลย 1.รู้จักสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ เพราะการจะเป็นผู้นำในด้านการทำธุรกิจจำเป็นต้องมี Network กับผู้อื่นไว้ให้มากทั้งเพื่อร่วมงานและต่อยอดในการทำธุรกิจ แถมในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปไวตามเทรนด์แบบนี้นั้นผู้นำควรมีคอนเน็คชั่นไว้เพื่อสามารถทำงานร่วมกันทั้งในด้านกำไรรวมถึงพัฒนาสิ่งใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น ยิ่งรู้จักผู้คนมากก็จะยิ่งมีเพื่อนคู่คิดในการปรึกษามากขึ้นแถมยังต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ได้มากขึ้นด้วย 2.เข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้นำที่ดีมักจะเข้าใจในความแตกต่างของแต่ละคน แต่ละประเทศ แต่ละธุรกิจ รวมไปถึงวัฒนธรรมในองค์กรอื่น ๆ การเป็นผู้นำที่ดีควรมีความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและลดอคติลง เพราะในอดีตโลกเราไม่ได้เปิดกว้างมากเท่าทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเราควรจะเปิดใจรับสิ่งใหม่มากขึ้น 3.มีความน่าเชื่อถือ การเป็นผู้นำที่ดีนอกจากควรจะมีความน่าเชื่อถือต่อผู้อื่นและมีความหนักแน่นในความคิดของตนเอง การมีความหนักแน่นไม่ได้แปลว่าความคิดจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย แต่ต้องมีความคิดยืดหยุ่นมุ่งเน้นในเป้าหมายขององค์กรที่พร้อมจะมุ่งสู่ความสำเร็จด้วย นอกจากนั้นยังควรมีความน่าเชื่อถือต่อพนักงานหรือลูกน้องในองค์กร เพราะถ้าหากผู้นำของพวกเขามีความน่าเชื่อถือพวกเขาสามารถนำคุณเป็นแบบอย่างได้และสามารถเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องที่คุณแนะนำพวกเขาไว้ 4.มีความสามารถในการวิเคราะห์ ไม่ว่าวัฒนธรรมหรือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคจะมีความสม่ำเสมอเพียงใด แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผู้นำควรมีคือการมีความคิดและความสามารถในด้านการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างเช่นการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น สิ่งใดที่จะเป็นที่นิยมต่อไป หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ว่างานแต่ละอย่างนั้นควรจะมอบหมายให้ใครและคนแบบไหนที่ควรทำงานในโปรเจ็คไหน และธุรกิจของคุณควรเดินไปในทิศทางใดต่อ 5.รู้จักตนเองดี นอกจากควรจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมรรถภาพของลูกน้องและธุรกิจตนเองดีแล้ว ควรจะรู้จักตัวของตนเองดีมากอีกด้วยว่าคุณมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไรเพื่อสามารถควบคุมตนเองและพนักงานในโอวาทได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะถ้าหากคุณมีข้อเสียด้านการควบคุมอารมณ์คุณควรรู้แนวทางว่าควรจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร หากคุณแสดงท่าทีหรืออุปนิสัยที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกน้องของคุณด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก :entrepreneur
เพราะการเรียนรู้นั้นนับว่าเป็นการพัฒนาการที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการเรียนรู้
ลองมาดู 5 วิธี ที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นกันเถอะ !
เคยรู้สึกสงสัยบ้างไหมว่าทำไมวันของคุณยังไม่มาถึงสักที ยังไม่ได้สัมผัสกับคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ซักที นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังพยายามผิดวิธีอยู่ก็เป็นได้หรือคุณยังเสี่ยงไม่เพียงพอนั่นเอง
อันที่จริงพฤติกรรมของผู้ใหญ่ก็มีผลต่อนิสัยของเด็กว่าจะออกมาเป็นแบบไหนในยามที่พวกเขาโตขึ้น รายละเอียดเล็กน้อยในการใช้คำพูดโต้ตอบกับพวกเขาก็สามารถเป็นพื้นฐานในการเกิดอุปนิสัยต่าง ๆ
เพราะความมั่นใจนั้นทำให้คนเรารู้สึกรักตัวเองและดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยเสริมสร้างความสุขและความมั่นใจในการทำงานหรือการใช้ชีวิตนั้นคือการปรับแนวคิดของตัวคุณเอง
เพราะเรซูเม่เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของโอกาสในการได้เข้าทำงานในบริษัทที่คุณสนใจ หากว่าการสร้างความประทับใจของคุณในเรซูเม่มันกลับกลายเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ควรมี และนั่นอาจจะลดโอกาสในการเข้างานในที่ที่คุณต้องการ