รองเท้าช้างดาว ทนนานอยู่คู่คนไทยมาแล้ว 60 ปี จากเจเนอเรชันหนึ่งตกทอดมาถึงเจเนอเรชันสาม แฟชั่นรองเท้าเปลี่ยนไปไม่รู้เท่าไร แต่ช้างดาวสไตล์ก็ยังคงอยู่เหนือกาลเวลากว่านั้น อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้แบรนด์นี้ยังคงอยู่
คุณจักรพล จันทวิมล เป็นอีกคนที่โตมากับรองเท้านันยางอย่างแท้จริง ปัจจุบันเขาคือ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทายาทรุ่นที่สามของนันยาง ชายผู้ใส่เบอร์รองเท้านันยางของเขาไว้บนนามบัตร
รองเท้าแตะนันยาง ตราช้างดาว’ คือชื่ออย่างเป็นทางการที่เกิดขึ้นภายใต้สายพานการผลิตของบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ที่เริ่มต้นจากรองเท้าผ้าใบเมื่อปี พ.ศ. 2496
2499 คือปีเกิดรองเท้าแตะตราช้างดาว กับรูปลักษณ์ที่ง่าย ๆ เป็นยางพารา 100 % พื้นสีขาวตัดกับสีของหูคีบสามสี และขอบด้านข้างอย่างน้ำเงิน แดง เขียว
แต่จริง ๆ แล้ว แบรนด์ “ช้างดาว” เพิ่งใช้อย่างเป็นทางการมาแค่ 2-3 ปีนี้เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้คือ “รองเท้าแตะนันยาง” ตามชื่อบริษัท แต่คนทั่วไปมักจะเรียก “ช้างดาว” ตามโลโก้ของแบรนด์ที่มีรูปช้างและรูปดาวอยู่ คนสมัยก่อนที่มักจะเรียกยี่ห้อสินค้าเป็นชื่อสัตว์ต่าง ๆ ที่เห็นจากโลโก้ ทำให้เมื่อทางบริษัทจะเริ่มทำตลาดรองเท้าแตะอย่างจริงจัง จึงได้เริ่มใช้ชื่อ “รองเท้าแตะช้างดาว” อย่างเป็นทางการไปพร้อมกันด้วย
มีหลาย ๆ คนมักเรียกว่า แตะขอบฟ้า หรือรองเท้าแตะสีขาวขอบน้ำเงิน คือรองเท้าแตะรุ่นแรกที่ทำให้คนไทยรู้จักรองเท้าช้างดาว แม้จะมีสีเขียวและสีแดงตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าความนิยมในสีน้ำเงินจะอยู่ในตำนานของช้างดาวและเป็นที่จดจำมากกว่าสีอื่น
ช้างดาวกลายเป็นกระดานศิลปะที่ให้ช่างแกะสลักมาแกะลวดลายลงบนพื้นรองเท้าจนกลายเป็นอาชีพใหม่ กลายเป็นเคสโทรศัพท์ ของที่ระลึกที่คนต่างชาตินิยมติดมือกลับไป และเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
สามปีให้หลัง รองเท้าแตะช้างดาวก็เกิดขึ้นตามรูปแบบวิถีไทย ที่วัฒนธรรมการสวมรองเท้าแตะคือความนิยมของกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับวัฒนธรรมในละแวกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นิยมสวมรองเท้าแตะเพราะสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ต้องถอดเข้าออกเมื่อถึงวัดหรือเรือนชาน และเหมาะกับภูมิอากาศมากกว่า โดยนำยางพาราซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตพื้นรองเท้าผ้าใบ มาผลิตเป็นรองเท้าแตะรูปทรงง่าย ๆ ด้วยยางพารา 100 % และเป็นรูปทรงเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตลอด 60 ปี ไม่มีแม้กระทั่งรูปทรงใหม่ ๆ ที่จะออกมาตามแฟชันนิยม
หนึ่งในคำจำกัดความของช้างดาวก็คือทน นี่คือสิ่งที่คนจำได้ มันเหมือนเราเอายางพารามาตัดเป็นรองเท้า เพราะมันเป็นรองเท้าคู่เดียวที่ใช้ยางพาราร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็เลยมาพร้อมกับน้ำหนัก” จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย ทายาทรุ่นที่สามของนันยาง ให้เหตุผลถึงน้ำหนักที่พ่วงมากับความทนและพื้นที่ไม่ลื่น ซึ่งตอบโจทย์กับคนใช้งานที่ต้องการความทนทานมากกว่าความสวย และความหนาของรองเท้าก็เข้ากับบริบทของพื้นทางเดินที่ขรุขระหรือมีเศษแหลม ที่บางครั้งความหนาของมันก็ช่วยให้รอด
ช้างดาว มีความทนทาน คุ้มค่า ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนที่ชัดมากจากการสำรวจแบรนด์เกือบทุก ๆ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรูปลักษณ์ที่มีความเฉพาะตัวของรองเท้าแตะแบบสายคีบ ที่เมื่อคนเห็นก็จะนึกถึงรองเท้าช้างดาวทันที ประกอบกับการมี Brand Awareness ที่แข็งแรงอย่างมาก เพราะทุกคนทั่วประเทศรู้จัก “ช้างดาว” และต่างเคยได้ยินชื่อแบรนด์มาก่อน
ดังนั้น ความแข็งแรงที่สุดของช้างดาวก็คือ ตัวตนและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นรองเท้าแตะช้างดาวขึ้นมา ซึ่งผลตอบรับที่สะท้อนกลับมาก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จได้ดีมาก
“กาลเวลา 60 ปี สามารถพิสูจน์อะไรบางอย่างว่า การที่เราตัดสินใจทำสินค้าทน มันคือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอดได้ถึงทุกวันนี้”