ฟรีและดี! เพิ่มยอดขายด้วย Google Shopping ที่ตอนนี้เตรียมเปิดให้บริการฟรี ไม่มีค่าโฆษณา

         สำหรับ Google Shopping Ads หรือการโฆษณาสินค้าบน Google โดยที่ Google จะแสดงผลทั้งรูปสินค้า ราคา และชื่อร้านค้าไว้ในตัว ที่ได้เปิดให้บริการในไทยมาตั้งแต่ปลายปี 2018 จนได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม E-commerce ซึ่งมี CTR ที่ดีกว่าการโฆษณาแบบเดิม นำมาสู่ยอดขายที่ดีขึ้น โดย Google เองก็มีการเก็บค่าโฆษณาตลอดมา แต่ล่าสุด Google เองก็ได้แย้มนโยบายออกมาว่า จะฟรีโฆษณาบน Google Shopping Ads เพราะต้องการที่จะกินเค้กส่วนแบ่งในธุรกิจ E-commerce จากเดิมที่คิดค่าโฆษณาตาม Ads Bidding          สำหรับนโยบายการฟรีค่าโฆษณาบน Google Shopping นี้จะเริ่มในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน 2020 ในอเมริกาก่อน โดยจะยังคงแสดงผลในหน้าค้นหาของ Google แถบ Shopping ตามเดิม และยังคงประกบด้วย ภาพสินค้า ราคา รายละเอียดสินค้า และชื่อร้านค้าไว้เช่นเดิม ซึ่งการฟรีค่าโฆษณาจะช่วยให้สินค้าบนแพลตฟอร์ม E-commerce […]

วิธีที่จะทำให้รู้จักตัวเอง

วิธีที่จะทำให้รู้จักตัวเอง

การรู้จักตนเอง (Self-Awareness)  คือ การที่รู้ว่าตนเองเป็นใครและมีหน้าที่อะไร มีนิสัยแบบไหน มีความต้องการอย่างไร มีทักษะสำคัญอะไร ฯลฯ การรู้จักตัวเองจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพราะการเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ย่อมทำให้บรรุลเป้าหมายที่ต้องการ จัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การรู้จักตนเองมากขึ้นจะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของตนเองดีขึ้น รวมถึงเข้าใจผู้อื่นและพฤติกรรมของเขาเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นคนยิ้มยาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนอื่นไม่ยิ้ม ให้เรา เมื่อเข้าใจดังนั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง ยิ้มให้มากขึ้นหรือพูดทักทายคนอื่นก่อน เป็นต้น จากที่กล่าวไปข้างตนเป็นการรู้จักตนเองในด้านที่คนอื่นก็อาจจะรู้เช่นเดียวกัน แต่คนเรามัก มีพฤติกรรมหรือนิสัยที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็อาจไม่ทราบ เช่น การเป็นคนพูดเสียงดัง ตัวเราเองอาจไม่รู้ตัว แต่ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น เราจึงควรไถ่ถามความคิดเห็นกับครอบครัว เพื่อนร่วมงานว่าเราเป็นคนเช่นไร มีนิสัยต้องแก้ไขหรือปรับปรุงตรงไหนบ้างเพื่อปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น อาจกล่าวได้ว่า เราสามารถรู้จักตัวเองได้จากตนเองนั่นแหละ หมั่นสังเกตุว่าชอบหรือ ไม่ชอบอะไร มุ่งไปสู่สิ่งที่ชอบและหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ไม่ชอบ และเรียนรู้ตนเองจากผู้คนรอบข้างเพราะคนพวกนี้ก็เปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนออกมาเพราะเราต่างก็มีปฏิสัมพันธ์กันนั่นเอง การรู้จักตัวเองแม้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ เพราะคนที่รู้จักตัวเองและประสบความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จักตัวเองตั้งแต่เกิด เขาก็ผ่านการฝึกฝนมาเช่นกัน เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังแสวงหาหรืออยากรู้จักตัวเองทุกคนนะครับ

5 เคล็ดลับการเขียนบนโซเชียลมีเดีย

สำหรับการเขียนโน้มน้าวใจใด ๆ ก็ตาม แน่นอนว่างานเขียนที่ดีนั้นต้องใช้ทั้งความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ และไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์และทักษะในการเขียนมากน้อยเพียงใด คุณก็สามารถฝึกฝนและนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปต่อยอดได้ ลองดูทริคง่าย ๆ 5 อย่างนี้แล้วคุณจะประหลาดใจกับผลของการเขียนครั้งใหม่ของคุณ 1.ใช้ภาษาที่เรียบง่าย เขียนอย่างชัดเจน ยิ่งคุณใช้คำศัพท์ยากและซับซ้อนเกินไปยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการเข้าถึงรวมไปถึงจำนวนผู้อ่านน้อยลงได้ ยิ่งคุณใช้ภาษาที่อ่านง่ายยิ่งทำให้เข้าใจได้ง่าย นอกจากจะช่วยดึงดูดผู้อ่านได้มากขึ้นแล้ว พวกเขายังจะรู้สึกขอบคุณคนเขียนอีกด้วย 2.เขียนในมุมมองของผู้อ่าน ผู้อ่านมักสนใจเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นการเขียนจากมุมมองของผู้อ่าน ลองนึกดูว่าคุณต้องการอะไรจากงานเขียนนี้ 3.เขียนอย่างมีวัตถุประสงค์ ลองคิดว่าเป้าหมายของการเขียนครั้งนี้นั้นคืออะไร คุณต้องการให้ผู้อ่านรู้สึกอย่างไร หรือทำอะไรกับโพสต์ของคุณ ลองร่ายออกมาเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเขียน 4.การแบ่งบรรทัดหน้าก็มีผล การแบ่งหน้าอย่างชัดเจน การแบ่งเป็นข้อ ๆ มีตัวหนาเน้นข้อความสำคัญบ้างจะยิ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกตื่นเต้นแถมยังง่ายต่อการจดจำอีกด้วย นี่เป็นหนึ่งในการเรียกความสนใจจากผู้อ่านได้ดี 5.ใช้รูปภาพประกอบ แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่สามารถบรรยายให้ผู้อื่นเข้าใจง่ายมากเกินไปกว่าการใช้ภาพบรรยาย เพราะสามารถเห็นภาพอย่างชัดเจนที่สุดเลยทีเดียว เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับ 5 เคล็ดลับนี้ ลองเอาไปฝึกในการเขียนคอนเท็นต์ต่างๆ ได้เลย หรือถ้าใครมีเคล็ดลับที่อยากจะแชร์ก็บอกมาได้เลยนะคะ

ลองเครื่องสำอางด้วย AR ได้ทันทีในฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะมาบน Youtube

ลองเครื่องสำอางด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ก่อนซื้อได้ทันทีออนไลน์ผ่านวิดิโอที่รับชมบน Youtube ด้วยกลยุทธ์ฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่เมื่อมีการรับชมวิดิโอ วล๊อก (Vlog) ของ บิวร์ตี้วล๊อกเกอร์ (Beauty vlogger) ที่มีการรีวิวแบรนด์เครื่องสำอางต่างๆในโลกออนไลน์   ฟีเจอร์ใหม่จะมีชื่อว่า Virtual try on ที่จะแสดงให้เห็นว่าเมื่อเติมเครื่องสำอางนั้นลงบนหน้าของคุณ คุณจะเป็นอย่างไร!! โดยแบรนด์แรกที่ร่วมมือกับฟีเจอร์นี้คือ MAC Cosmetics ซึ๋งในการทดลองใช้งานพบว่ามีผู้คนกว่า 30% ที่ร่วมใช้ฟีเจอร์ AR นี้ และใช้เวลา 80 วินาทีในการลองลิปสติกเสมือนจริง   ในตอนนี้ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นพัฒนาและจะถูกเปิดใช้งานในเร็วๆนี้บน Youtube   ฟีเจอร์นี้จะเป็นการนำเทคโนโลยี AR มาช่วยในการโฆษณา ช่วยให้คนสามารถเลือกสีเครื่องสำอางได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดเวลาในการต้องออกไปหาซื้อเครื่องสำอางมาลองเอง และยังเป็นการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆในการรับชมวิดิโอจากบิวตี้วล๊อกเกอร์อีกด้วย   ขอบคุณข้อมูลจาก : theverge

หยุดทำ 6 พฤติกรรมเหล่านี้ถ้าหากอยากประสบความสำเร็จ

ในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมายแต่นั่นก็ยังไม่ดีพอจนคุณต้องมองหาว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที บางครั้งอาจจะเป็นเพราะลักษณะนิสัยบางอย่างที่คุณทำอยู่ประจำแต่อาจจะไม่รู้ตัว และนี่คือ 6 พฤติกรรมที่คุณควรหยุดทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น   1.คุณชอบความสมบูรณ์แบบมากเกินไป หนึ่งในสิ่งที่ควรระวังนั่นคือถ้าหากคุณชอบและหลงใหลในความเพอร์เฟ็คความสมบูรณ์แบบจนมากเกินไปนั่นจะเป็นกำแพงให้กับคุณจนคุณไม่กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ แถมความเครียดและความกังวลนั้นจะทำให้ยากที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในขณะที่คุณทำงานอยู่ ลองปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายและยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาดบ้างก็ได้   2.คุณถูกสิ่งรอบข้างดึงดูดความสนใจมากไป การไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอยู่หรือการถูกขัดจังหวะได้ง่ายทั้งด้านความรู้สึกและความคิดจะทำให้คุณไม่สามารถเต็มที่ในสิ่งที่คุณสนใจหรือวางแผนจะทำงานและอาจทำให้คุณเสียเวลากับมันมากกว่าเดิม  ลองปิดโทรศัพท์มือถือ เลิกใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อรับส่งข้อความสักพักแล้วจดจ่ออยู่กับงานที่คุณทำอยู่   3.คุณเลื่อนปลุกอยู่เป็นประจำ มีหลายงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าการงีบหลับเพิ่มหลังจากนาฬิกาปลุกครั้งแรกของคุณดังขึ้นนั้นไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกเหนื่อยน้อยลง เพราะถ้าหากคุณต้องการหลับอีกสักพักเพื่อต้องการพลังงานเพิ่มคุณจำเป็นต้องนอนหลับลึกเท่านั้นจึงจะสามารถเยียวยาร่างกายคุณได้ แทนที่คุณจะใช้เวลาที่เลื่อนปลุกไปเพื่อนอนหลับเพิ่มเพียง 15 นาทีลองหันมาตื่นตรงเวลาและใช้เวลาส่วนนั้นในการทำอย่างอื่น เช่นลุกมาดื่มน้ำแต่เช้า เดินชมสวนหน้าบ้าน จะช่วยให้เป็นเช้าที่ดีต่อสุขภาพคุณมากขึ้น   4.คุณจัดอันดับงานที่สำคัญไว้ท้าย ๆ เพราะคนส่วนใหญ่สมองจะแล่นพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นจะเป็นในช่วงเช้าและช่วงสายในแต่ละวัน และในช่วงบ่ายและเย็นสมองจะเริ่มอ่อนล้าซึ่งทำให้คุณไม่มีพลังงานมากเพียงพอสำหรับงานใหญ่งานยากในวันนั้น ดังนั้นคุณควรจะเลือกจัดระเบียบโดยวางแผนทำงานยากก่อนในช่วงเช้านั่นจะทำให้คุณรู้สึกโล่งได้มากขึ้น   5.คุณทำงานหลายอย่างไปพร้อมกัน การทำงานแบบ multitasking นั้นไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้งานของคุณออกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในความเป็นจริงจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทำงานแบบ multitasking หรือการทำงานแบบไม่โฟกัสนั้นทำให้ระบบความจำของคุณแย่ลงอีกด้วย การทำงานหลายอย่างพร้อมกันโดยไม่โฟกัสจะทำให้คุณมีโอกาสพลาดรายละเอียดสำคัญไปและลดโอกาสเรียนรู้ของคุณด้วย แถมยังนำไปสู่การทำงานผิดพลาดด้วยอีกต่างหาก   6.คุณนั่งนานเกินไป หากคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำอยู่ตลอดทั้งวันคุณอาจจะไม่รู้ว่าร่างกายของคุณก็สามารถรู้สึกเครียดได้ เพราะในท่านั่งกระดูกสันหลังคุณจะยืดหยุ่นน้อยลง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อของคุณมีความตึงเครียดทั้งส่วนบ่า ไหล่ คอ จนอกจากนี้มันยังมีผลในการลดการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและปอดของคุณอีกด้วย ลองหยุดพักในทุกๆ 20 ถึง 30 นาทีเพื่อเหยียดกล้ามเนื้อหลังและไหล่ขณะทำงาน หรือคุณอาจใช้การออกกำลังกายและโยคะด้วยท่าเบา […]

5 ลักษณะที่ผู้นำในยุคแบบนี้ควรมี!

เพราะโลกของเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจและธุรกิจแต่ละด้านก็ต้องปรับตัวตามกาลเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการที่ผกพันของลูกค้า ดังนั้นผู้นำทุกท่านควรมีทักษะและลักษณะที่เข้ากับยุคสมัยอีกด้วย จะเป็นอะไรบ้างไปชมกันเลย   1.รู้จักสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ เพราะการจะเป็นผู้นำในด้านการทำธุรกิจจำเป็นต้องมี Network กับผู้อื่นไว้ให้มากทั้งเพื่อร่วมงานและต่อยอดในการทำธุรกิจ แถมในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปไวตามเทรนด์แบบนี้นั้นผู้นำควรมีคอนเน็คชั่นไว้เพื่อสามารถทำงานร่วมกันทั้งในด้านกำไรรวมถึงพัฒนาสิ่งใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น ยิ่งรู้จักผู้คนมากก็จะยิ่งมีเพื่อนคู่คิดในการปรึกษามากขึ้นแถมยังต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ได้มากขึ้นด้วย   2.เข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้นำที่ดีมักจะเข้าใจในความแตกต่างของแต่ละคน แต่ละประเทศ แต่ละธุรกิจ รวมไปถึงวัฒนธรรมในองค์กรอื่น ๆ การเป็นผู้นำที่ดีควรมีความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและลดอคติลง เพราะในอดีตโลกเราไม่ได้เปิดกว้างมากเท่าทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเราควรจะเปิดใจรับสิ่งใหม่มากขึ้น   3.มีความน่าเชื่อถือ การเป็นผู้นำที่ดีนอกจากควรจะมีความน่าเชื่อถือต่อผู้อื่นและมีความหนักแน่นในความคิดของตนเอง การมีความหนักแน่นไม่ได้แปลว่าความคิดจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย แต่ต้องมีความคิดยืดหยุ่นมุ่งเน้นในเป้าหมายขององค์กรที่พร้อมจะมุ่งสู่ความสำเร็จด้วย นอกจากนั้นยังควรมีความน่าเชื่อถือต่อพนักงานหรือลูกน้องในองค์กร เพราะถ้าหากผู้นำของพวกเขามีความน่าเชื่อถือพวกเขาสามารถนำคุณเป็นแบบอย่างได้และสามารถเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องที่คุณแนะนำพวกเขาไว้   4.มีความสามารถในการวิเคราะห์ ไม่ว่าวัฒนธรรมหรือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคจะมีความสม่ำเสมอเพียงใด แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผู้นำควรมีคือการมีความคิดและความสามารถในด้านการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างเช่นการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น สิ่งใดที่จะเป็นที่นิยมต่อไป หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ว่างานแต่ละอย่างนั้นควรจะมอบหมายให้ใครและคนแบบไหนที่ควรทำงานในโปรเจ็คไหน และธุรกิจของคุณควรเดินไปในทิศทางใดต่อ   5.รู้จักตนเองดี นอกจากควรจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสมรรถภาพของลูกน้องและธุรกิจตนเองดีแล้ว ควรจะรู้จักตัวของตนเองดีมากอีกด้วยว่าคุณมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไรเพื่อสามารถควบคุมตนเองและพนักงานในโอวาทได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะถ้าหากคุณมีข้อเสียด้านการควบคุมอารมณ์คุณควรรู้แนวทางว่าควรจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร หากคุณแสดงท่าทีหรืออุปนิสัยที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกน้องของคุณด้วย   ขอบคุณข้อมูลจาก :entrepreneur

4 วิธีรักษานิสัยการผลัดวันประกันพรุ่ง

ถ้าคุณหรือเพื่อนร่วมงาน ชอบผัดวันประกันพรุ่งจนเป็นนิสัย ทำให้งานไม่มีทางเสร็จได้เลย ถ้าไฟไม่ไหม้จริง ๆ คุณไม่มีทางทำงานเสร็จตรงเวลาได้ตลอด หากคุณไม่หัดเริ่มทำให้ตรงเวลาก่อน หรือยิ่งผัดวันประกันพรุ่งนี้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบที่ตามมาก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ได้ โชคดีที่นี่เป็นอาการที่สามารถรักษาให้หายขาดได้หากคุณมุ่งมั่นปรับเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งรางวัลให้ตัวเองเมื่อทำงานสำเร็จ คุณจะรู้สึกสนุกกับการตั้งหน้าตั้งตารอรางวัลมากกว่าการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น แทนที่คุณจะมุ่งมั่นกับการวางแผนทำงาน ลองเปลี่ยนเป็นวางแผนไปเที่ยว หรือไปดูการแข่งกีฬาสักเกมหลังเสร็จงาน การให้รางวัลสำหรับทุกความสำเร็จเล็ก ๆ แก่ตัวเราเองนั้น เป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะรอให้รางวัลสำหรับเรื่องที่ใหญ่กว่าเพียงคราวเดียว พยายามจัดตารางงานและจัดลำดับความสำคัญทุกวัน เรื่องที่แย่ที่สุดของการผัดวันประกันพรุ่งเกิดขึ้นเมื่อคุณลืมทำเรื่องที่สำคัญ หรือไปทำงานที่ไม่ได้รับมอบหมาย การทำลิสต์งานที่คุณต้องทำจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้จักจัดลำดับ และจัดทำตารางเวลาสำหรับงานที่ต้องทำมากขึ้น ผู้คนส่วนมากมักจะรู้สึกพอใจเมื่อได้ขีดฆ่ารายการสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้ว จัดลำดับให้ “งานหินที่สุด” เป็นอันดับแรกของงานที่ต้องทำ จัดการกับสิ่งที่ท้าทายที่สุดในขณะที่คุณยังมีพลังงานมากที่สุด จะดีกว่าจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ ก่อน ถ้าคุณทำงานสำคัญ ๆ เสร็จได้ไว คุณจะมีแรงกระตุ้นให้ทำสิ่งที่เหลืออยู่ได้ทั้งวัน แล้วคุณจะพบว่า คุณไม่เหนื่อยเลยหากทำสิ่งที่ไม่ต้องใช้ความคิด ล็อกตารางเวลาสำหรับงานสำคัญ ในโลกธุรกิจนั้นบางอย่างก็เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่ได้คาดคิด และต้องจัดการอย่างรวดเร็ว การให้ผู้ช่วยหรือคนอื่นมาจัดตารางงานงานประชุมหรืองานต่าง ๆ ให้คุณละก็ นั่นจะทำให้คุณมีแนวโน้มที่จะผัดวันประกันพรุ่งและล้มเหลวในการทำงานมากขึ้น ดังนั้น จงทำงานแบบ “Proactive” หรือการทำงานเชิงรุก มากกว่า “Reactive” […]

7 เศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดในโลกจากธุรกิจค้าปลีก

จากผลสำรวจจากนิตยสาร Forbes ถึง 20 อันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของปี 2019 เราก็พบว่ามีเศรษฐีพันล้านจากธุรกิจการค้าปลีกถึง 7 คนด้วยกัน วันนี้เลยชวนมาชมเศรษฐีพันล้าน 7 คนที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจการค้าปลีกของพวกเขาที่ทุกคนต่างก็น่าจะคุ้นเคยแบรนด์เหล่านี้ดี   อันดับ 7. S. Robson “Rob” Walton ผู้สืบทอด Walmart สินทรัพย์สุทธิทั้งหมด : 44.3 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจค้าปลีก: Walmart     อันดับ 6. Alice Walton ผู้สืบทอด Walmart สินทรัพย์สุทธิทั้งหมด : 44.4 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจค้าปลีก: Walmart     อันดับ 5. Jim Walton ผู้สืบทอด Walmart สินทรัพย์สุทธิทั้งหมด : 44.6 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจค้าปลีก : […]

9 ไอเดีย สร้างความแตกต่าง ให้ธุรกิจของคุณ

ในปัจจุบันมีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่ในทุก ๆ วัน จนเต็มตลาดไปหมด ทำให้หลายธุรกิจล้วนพยายามหาสิ่งใหม่ ๆ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ  “ความแตกต่าง” ให้กับธุรกิจของตัวเอง เพื่อความโดดเด่นจากคนอื่น หรือเป็นจุดขายให้กับตัวเอง ซึ่งความแตกต่างนั้นนี้ก็มีเยอะแยะมากมายเพียงแต่ขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจว่าหาความแตกต่างในธุรกิจของตัวเองเจอหรือเปล่า วันนี้เรามี 9 ไอเดียที่น่าจะเป็น “ความแตกต่าง” ให้กับแต่ละธุรกิจได้ลองเอาไปปรับใช้ให้กับธุรกิจของตัวเอง ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย… 1. ราคา แน่นอนเลยว่า ราคา เป็นอย่างแรกที่หลายคนต้องนึกถึงเป็นอย่างเเรก การตั้งราคาต่างจากคู่แข่งนั้นไม่ว่าจะถูกกว่า หรือแพงกว่า เราต้องมั่นใจว่ามีข้อดี–ข้อเสียกันคนละแบบ เพราะไม่ใช่ว่าของถูกกว่าแล้วจะดีกว่าแล้วของที่แพงกว่าเสมอไป อย่างไรเเล้วควรตั้งราคาให้เหมาะสม 2. ความสะดวกในการใช้บริการหรือซื้อ ลองคิดว่าเป็นตัวเราเวลาที่จะซื้อสินค้าอะไรสักชิ้นบางร้านอาจจะมีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ต้องกรอกข้อมูลนูนนี่นั่นเต็มไปหมดแต่บางร้านแทบไม่ต้องกรอกข้อมูลอะไรเลยนี่ยังไม่รวมกับช่องทางการจัดจำหน่ายที่บางธุรกิจมีข้อจำกัดเยอะในขณะที่อีกร้านใช้งานง่ายและสะดวกกว่าถ้าเป็นเราก็ต้องเลือกร้านที่สะดวกสบายหรือร้านที่ไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากมายจริงไหม 3. คุณภาพสินค้าหรือบริการ คุณภาพสินค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ อีกอย่าง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมองข้ามในเรื่องของความสะดวกไปได้บ้าง เพราะลูกค้าหลายกลุ่มก็ยอมที่จะจ่ายแพงกว่า หรือยอมที่จะยุ่งยากกว่าเดิมถ้าได้ของที่ “ดีกว่า” นั่นเอง 4. มีของพร้อมส่ง บางร้านขายของดีมาก ๆ แต่ของขาดตลาดตลอด ต้องจอง ต้องรอ ต้องต่อคิวนาน ๆ เป็นเหตุให้บางธุรกิจใช้โอกาสนี้ในการชูจุดต่างว่าร้านของเขามีของตลอด หรือถ้าเป็นร้านขายของก็ประเภทเปิด 24 ชม. อะไรประมาณนั้น เเละอาจจะทำให้เราเสียลูกค้าได้ 5. […]