ปี 2020 เป็นปีแห่งความยิ่งใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของ Facebook หรือต้องเรียกว่า ‘Year of Facebook’s Revolution’ เลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2019 ที่ Facebook ต้องรับบทหนัก เพราะเรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน จนทำให้มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ต้องเสียค่าปรับจากคดีเหล่านี้ นอกจากเงินที่ต้องเสียไปแล้ว Facebook ยังต้องเจอกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น
ทำให้ในปี 2020 เป็นปีของการเขย่าตัวเองใหม่ของ Facebook ตั้งแต่การออกมาบอกว่าจะเริ่มทำสกุลเงินของตัวเองอย่าง Libra ไปจนถึงการพัฒนา Virtual & Augmented เทคโนโลยีแสดงผลเสมือนจริง เพื่อให้โฆษณาบน Facebook มีความน่าสนใจมากขึ้น
Facebook เคยเปลี่ยนโลกไปครั้งนึงแล้วเมื่อตอนที่เปิดให้ใช้งานครั้งแรก และ Facebook กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลกอีกครั้ง จาก 9 เทรนด์ที่เตรียมจะทำในปี 2020 นี้
9 เทรนด์บน Facebook ที่ต้องจับตามอง
- ความ Privacy ของ Facebook จะมีมากขึ้น
หลังจาก Facebook โดนเพ่งเล็งเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวหลายครั้ง ทำให้มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ต้องลุกขึ้นมาปรับเรื่องความเป็นส่วนตัวใหม่เพื่อเรียกความเชื่อใจของผู้ใช้งานกลับมา ถึงแม้จะรู้กันดีว่าสินค้าหลักที่ Facebook ใช้ทำเงิน นอกจากจะเป็นค่าโฆษณาแล้ว คือการขายข้อมูลผู้ใช้งานก็ตาม แต่ในปีนี้ Facebook ได้ปรับนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่ ด้วยการลดขนาด Community และสร้างการโต้ตอบมีส่วนร่วมในกลุ่มเล็กๆ มากขึ้น
- ออกแบบแพลตฟอร์มให้เป็น Group-Centric Design มากขึ้น
Facebook ได้เปิดตัว FB5 หรือ Facebook เวอร์ชั่นที่ 5 ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ได้มีการพัฒนาโดยออกแบบให้ Facebook Groups เป็นศูนย์กลางของแพลตฟอร์มมากขึ่น ซึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยหลังจากพัฒนา Group-centric design ก็ทำให้ปุ่มแท็ปของ facebook group จะแสดงฟีดและกิจกรรมของสมาชิกในกลุ่ม พร้อมทั้งอัปเดตการเคลื่อนไหวภายในกลุ่มมากขึ้นในหน้าฟีด
เนื่องจากแพลตฟอร์ม Facebook มีผู้ใช้ Facebook Group มากกว่า 1.4 ล้านคน โดยผู้ใช้จำนวน 400 ล้านคนบอกว่าการเข้าร่วม Facebook group นั้นมีประโยชน์มาก ทำให้ Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นนี้มากขึ้น เพื่อปูทางต่อไปยัง Market place, Today In, แท็ปแกม และ Facebook Watch
- อัปเกรด Facebook Messenger โดยมี pivots เป็นหน้าเดสก์ท็อปไม่ใช่โมบาย
ถึงแม้การใช้งานของ Facebook ส่วนใหญ่จะอยู่บนหน้าโมบายถึง 94% และ Facebook เองก็ได้รายได้จากโฆษณาเกือบทั้งหมดมาจากส่วนนี้ แต่อย่าไรก็ตามในการพัฒนา Facebook เวอร์ชั่นที่ 8 ได้มีการพูดคุยกันว่าจะเปิดตัวแอพเดสก์ท็อปสำหรับ Facebook Messenger รวมไปถึงการพัฒนาแอพบนเดสก์ท็อปของ Instagram ด้วยเช่นกัน
Messenger Desktop จะมีฟังก์ชั่นเช่นเดียวกับ Messenger ในโมบาย โดยจะสามารถโทร วีดีโอคอล ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อดึงผู้คนมาใช้งานการทำงานแบบกลุ่มบนแพลตฟอร์ม Facebook มากขึ้น
- เพิ่มฟีเจอร์ซ่อนยอด Like
หลังจากได้มีการทดลองซ่อนยอด Like ในแพลตฟอร์ม Instagram ที่ออสเตรเลียไปแล้ว ความคิดเห็นของผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นไปในทางบวก ทำให้ Facebook เริ่มคิดที่จะนำการซ่อนยอด Like มาใช้บนแพลตฟอร์มตัวเองบ้าง ซึ่งการซ่อนยอด Like อาจทพให้เพจต่างๆ หรือบทความโฆษณาหาตัวชี้วัดได้ยากมากขึ้น พร้อมทั้งยังลดอิทธิพลต่อผู้บริโภค จากการที่ไม่มียอด Like มาเป็นตัวชี้นำ
- รูปแบบโฆษณาใหม่จะใช้ AR และ VR เข้ามา
Facebook เริ่มมองเห็นว่ารูปแบบการโฆษณาบนแพลตฟอร์มเริ่มมีการเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกันความนิยมของการโฆษณาแบบ dynamic อย่างเช่น Facebook stories นั้นเริ่มเติบโตและนิยมมากขึ้น เมื่อเห็นดังนี้ Facebook ก็ไม่รอช้า เริ่มทำโฆษณาแบบ Video Poll ที่สร้าง brand awareness ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับโฆษณาแบบวีดีโอปกติ
หลังจากนั้ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ AR สำหรับโฆษณาบน Facebook และ Instagram ภายใต้ชื่อ Spark AR Studios ที่สามารถเพิ่มฟิลเตอร์และสร้างประสบการณ์เสมือนจริงกับตังสินค้ามากขึ้น ทำให้แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าได้มากกว่าเดิม เช่น MAC Cosmetics แบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง ได้ใช้ Spark AR ในการให้ลูกค้าได้ลองลิปสติกผ่านทาง AR ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทำให้อุปสรรคของสินค้าคอสเมติก ที่ลูกค้ามักจะต้องไปลองสินค้าจริงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ หายวับไปกับตา
- เน้นสนับสนันธุรกิจเล็กๆ มากขึ้น
มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ 10 ปีของ Facebook ว่าจะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งการสร้างเครื่องมือการค้า เครื่องมือชำระเงิน สำหรับธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น หลังจากเห็นว่ามีธุรกิจขนาดเล็กเข้ามาใช้ Facebook เพิ่มขึ้นจาก 90 ล้านบัญชีเป็น 140 ล้านบัญชีในช่วงปีที่ผ่านมา
- เปิดตัวสกุลเงิน Libra
ช่วงกลางปี 2019 ได้มีการเปิดตัว Libra สกุลเงินดิจิตอลของ Facebook ที่ทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่าหาก Facebook มีการพัฒนาและเชื่อมเครือข่ายสำเร็จ สกุลเงิน Libra จะเข้ามา disrupt หลายๆธุรกิจอย่างแน่นอน โดยการทำงานของ Libra คือการเป็นสกุลเงินดิจิตอล (Cryptocurrency) โดยผ่าน Messenger, Whatsapp และแอพพลิเคชั่นแบบ stand alone โดยมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จในปี 2030